วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เมื่ออยู่ด้วยกันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น



Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน 


“ถ้ากลับไปหาเขาก็กลับไปตายค่ะ ...กลับไปตายแท้ ๆ” 

นี่คือคำบอกเล่าถึงชีวิตคู่ของ “ดวงดาว” หญิงตั้งครรภ์ วัยกลางคน ที่มาขอรับความช่วยเหลือที่บ้านพักฉุกเฉิน ด้วยปัญหา สามีติดยาบ้าและทุบตีทำร้าย โดยที่ฝากลูกคนโตไว้กับแม่ของสามีที่ต่างจังหวัด

ย้อนไปในวัยเด็กพ่อและแม่ของดวงดาวแยกทางกันตั้งแต่ดวงดาวยังจำความไม่ได้ และพ่อกับแม่ก็ต่างแยกไปมีครอบครัวใหม่  ดวงดาวจึงเติบโตด้วยการเลี้ยงดูจากยาย เธอบอกว่าอยู่กับยายมีความสุขอบอุ่น ยายส่งให้เธอเรียนจนจบระดับปวส.หลังเรียนจบก็ทำงานเป็นพนักงานขายของตามห้างสรรพสินค้า

ดวงดาว ได้คบหากับนาย “วิเชียร” โดยพบเจอเป็นเพื่อนกันทางแอพพลิเคชั่นออนไลน์ “เฟซบุ๊ก” ได้คุยกันและนัดเจอกัน “ตอนเป็นแฟนกันช่วงโปรโมชันก็ดีมาก” ก็เลยตกลงที่จะอยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส นายวิเชียรมีอาชีพรับจ้างเป็นช่าง ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยุ่กรุงเทพฯเรื่อยมาจนช่วงหลังดวงดาวจับได้ว่าวิเชียรเสพยาบ้า ดวงดาวบอกว่า“หนูก็ไม่รู้ว่าเขาเสพยามาก่อนที่จะมาอยู่ด้วยกัน หรือเพิ่งมาเสพแต่พอหนูจับได้ว่าเขาเสพยาบ้า เขาก็ไม่ปิดบังอีกเลย”

ต่อมาดวงดาวและวิเชียรย้ายกลับมาอยู่บ้านเกิดของนายวิเชียรที่ต่างจังหวัด ซึ่งนายวิเชียรก็รับจ้างเป็นช่างอยู่ที่บ้าน  ในระยะ 2 ปีแรกถึงนายวิเชียรจะเสพยาก็ยังไปทำงานได้ ต่อมาดวงดาวท้องและคลอดลูกคนแรกจนลูกคนแรกอายุได้ประมาณ 1 ขวบ เข้าปีที่ 3 เมื่อดวงดาวตั้งท้องลูกคนที่ 2 สามีก็เสพยาหนักขึ้นและน่ากลัวมากขึ้น ไม่ไปทำงาน เดินทั้งวัน ไปทำงานไม่ได้  ดวงดาวอายุครรภ์ได้ 5 เดือน สามีอารมณ์รุนแรง เดินทั้งวัน โมโหร้าย ด่าและทุบตีลูกเมีย พอไม่มีเงินให้เขาไปซื้อยาก็โดนตี ส่วนแม่ของนายวิเชียรเขาก็ไม่ไหวเขาหนีไปอยู่ทุ่งนา

ดวงดาวเล่าว่า “ตัวหนูมีโรคประจำตัว ตอนท้องลูกคนที่สองเขาก็ไม่เว้น เขาตีหัวหนูจนหายใจไม่ออกเขาก็ไม่พาไปหาหมอ จนต้องนอนดมยาดมให้หายเอง  เขาตีแล้วก็ไม่สนใจ ...แม้แต่ลูกคนโตไม่สบายเขาก็ไม่สนใจที่จะพาไปหาหมอ”

ช่วงที่นายวิเชียรมีสติทั้งดวงดาวและแม่ของเขา เคยคุยกับวิเชียรให้เลิกเสพยาแต่เขาก็ไม่ฟัง นายวิเชียรเป็นคนดื้อรั้นแม่เขาพูดเขายังไม่ฟัง  ดวงดาวเคยกลับมาอยู่บ้านยายแต่เขามาตามเพราะเขาก็รู้จักบ้านของเธอ  ดังนั้นถ้าจะตัดขาดกับเขาเธอคิดว่าจะต้องไปที่ ๆ เขาไม่รู้จัก ก็เลยดูเฟซบุ๊กเพจบ้านพักฉุกเฉินมาได้สักระยะแล้วแต่ก็ยังไม่มาทันที อดทนจนถึงที่สุดก่อนจนทนไม่ไหวก็ตัดสินใจมาบ้านพักฉุกเฉินโดยฝากลูกคนโตไว้กับแม่สามี ดวงดาวบอกว่าถ้าไม่มาก็คงไม่มีเงินคลอดลูกเพราะเขาเอาเงินไปซื้อยาบ้าหมด

ความรู้สึกเมื่อมาอยู่บ้านพักฉุกเฉิน

“อยู่บ้านพักดีมีของกิน อยู่ที่บ้านไม่มีกิน ท้องน้ำหนักไม่ขี้นเลย คืออดเพื่อเก็บเงินไว้เพื่อคลอดลูก หิวก็ต้องยอมอด”

ดวงดาววางแผนอนาคตไว้ว่า คิดว่าคลอดลูกคนนี้แล้วฝากเลี้ยงที่บ้านพักฉุกเฉินไปทำงานส่งเงินให้ลูกคนโตแล้วพอตั้งตัวได้ก็จะรับลูกไปอยู่ด้วยกัน กับลูกคนโตแม้จะคิดถึงตอนนี้ก็ต้องอดทนเพราะกลัวจะไปเจอพ่อของเขาแล้วจะมีปัญหา ทำได้ก็แค่ส่งเงินส่งนมและของใช้ไปให้ก่อน

เมื่อถามว่าคิดจะกลับไปหาสามีหรือไม่ เธอตอบว่า

“ตอนแรกก็คิดถึงเขานะ คนเคยอยู่ด้วยกันตั้ง 3 ปี ก็ผูกพัน แต่ถ้าหนูไม่ตัดตอนนี้ลูกก็จะโตขึ้นทุกวัน ลูกก็จะเห็นพ่อตีแม่ ก็ไม่อยากให้ลูกโตมาแบบนั้น  เคยคิดถึงความดีของเขามันก็เหมือนว่าเรา ฝันลม ๆ แล้ง ๆคงไม่มีวันที่จะกลับมาดีเหมือนช่วงแรก ๆ อีกแล้ว หนูเลยขอสมุดเจ้าหน้าที่มาเขียนความเลวของเขาได้ 3 หน้ากระดาษแล้วเอาไว้อ่านช่วงที่คิดถึงเขามาก ๆ ก็เออหายคิดถึงไปเลย ตอนนี้คิดถึงแต่ลูก”

............................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว  ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่  สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1    ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถบริจาคผ่าน ปันบุญ ติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2929 2301-7 ต่อ 109,113 E-mail: admin@apsw-thailand.org     เว็บไซต์สมาคม  www.apsw-thailand.org  

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2564

รักที่ทำร้าย

 

รักที่ทำร้าย

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง


“บัว” หญิงสาวชาวกรุงเทพฯ วัย 21 ปี เธอมาขอรับความช่วยเหลือที่บ้านพักฉุกเฉินพร้อมลูกสาววัย 3 ขวบ ด้วยปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เนื่องจากสามีมักมีอารมณ์ที่รุนแรงโมโหร้าย ทำร้ายทั้งร่างกายจิตใจ รวมทั้งกักขังหน่วงเหนี่ยว

ครอบครัวเดิมของบัวพ่อแม่เป็นคนกรุงเทพฯ บัวเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ พ่อมีอาชีพรับซื้อและขายของเก่า ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน ฐานะไม่ดีมากแต่สภาพครอบครัวก็อบอุ่น ซึ่งบัวยอมรับว่าตนเองพอเข้าช่วงวัยรุ่นก็เกเรและติดเพื่อนเองไม่ได้มีปัญหาครอบครัว

 ต่อมาในช่วงที่บัวกำลังเรียนชั้นม.2 เกิดจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต พ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิต ครอบครัวที่เหลือเพียงบัวและแม่จึงเสียศูนย์ เมื่อพ่อจากไปเธอกับแม่จึงเหมือนเรือที่ขาดหางเสือ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ต้องย้ายออกไปอาศัยญาติ ต่อมาก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมขณะที่บัวกำลังเรียนชั้น ม.3จึงต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน จนต่อมาเมื่อบัวอายุได้ 16 ปี  บัวและแม่ย้ายไปอยู่บ้านป้าที่ต่างจังหวัด บัวและแม่ออกทำงานรับจ้าง ชีวิตเหมือนจะดีขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ เพราะบัวเกิดมีปากเสียงกับลูกของป้า เธอจึงย้ายกลับมาอยูกรุงเทพฯมาอยู่กับแฟนตอนอายุได้ 17 ปี

แฟนของบัวชื่อนาย “เจมส์” เป็นแฟนที่คบหากันตั้งแต่สมัยอยู่กรุงเทพฯ เมื่อบัวย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดยังคุยติดต่อกันทางเฟซบุ๊กและนัดเจอกันเรื่อยมา ส่วนแม่ของบัวก็ย้ายตามกลับมาเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯเช่นเดียวกัน  บัวเล่าว่า พอย้ายมาอยู่กับเจมส์ ทั้งเธอและเจมส์ก็ไม่ได้ทำงานอะไร เพราะบ้านเจมส์ค่อนข้างมีฐานะพ่อกับแม่เจมส์แยกทางกัน แต่ก็เช่าบ้านให้เจมส์อยู่กับพี่สาวและส่งเงินให้ใช้ตลอดไม่ทำงานอะไรก็มีเงินใช้ ซึ่งการอยู่กินกับเจมส์นั้นบัวต้องอยู่ในโอวาทของเจมส์ตลอดห้ามคบหาใครคนอื่นห้ามคุยกับเพื่อนเพราะเจมส์จะขี้หึงมาก ในระยะ 2 - 3 ปีแรกที่อยู่ด้วยกันเจมส์ไม่ออกไปทำงานเลยเพราะต้องอยู่คอยเฝ้าบัว ทำให้บัวรู้สึกอึดอัดมาก เมื่อถามว่าตอนที่คบหากันเขาเป็นอย่างนี้ไหมบัวแจ้งว่าตอนที่คบหากันเขาก็เป็น คุยเฟซบุ๊กกันเขาจะให้เธอเปิดกล้องไว้ให้ดูตลอดว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน ในช่วงนั้นบัวไม่ได้รู้สึกว่ามากเกินไปเธอบอกว่า

“ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่ามันมากเกินไป เพราะว่าแต่ก่อนจะมีแฟนคนนี้ก็เคยคุยกับหลายคนเขาก็จะไม่จริงจังไม่สนใจคุย ๆ หาย ๆ แต่คนนี้เราก็คิดว่าเพราะเขาใส่ใจเรา เขารักเรา เพราะหนูยังเด็กเขาจริงจังกับเรานะใส่ใจเรานะไม่เคยคิดว่าเขาจู้จี้อะไรแบบนี้”

อยู่ด้วยกันได้ 6 เดือน บัวก็ตั้งครรภ์ เธอบอกว่า “หนูอยากมีลูกไม่ได้ป้องกันไม่ได้คิดว่ามันจะแบบ  ...แย่” หลังคลอดลูก เมื่อลูกอายุได้ 6 เดือน นายเจมส์ก็ได้งานทำเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยช่วงที่ไปทำงานเขาก็จะล็อคบ้านไว้ให้บัวอยู่กับลูกสองคนในบ้านกลางคืนเขาไปทำงานก็ล็อคบ้านตลอด เขาจะหวาดระแวงว่าบัวจะมีคนใหม่ ยิ่งพอไปทำงานเขาได้ลองเสพยาไอซ์กับเพื่อนร่วมงานจนติดยาก็มีอาการหนักขึ้นเธอจะคุยเฟซบุ๊กกับเพื่อนก็ไม่ได้ เขาจะคอยเช็กดูตลอดเพราะเขารู้รหัสเฟซบุ๊กของเธอ บัวบอกว่า “แม้แต่กูเกิ้ลเขาก็หึงเขาหาว่าหนูคุยกับฝรั่ง หนูจะพาลูกออกไปเล่นสนามเด็กเล่นหรือนอกห้องก็ไม่ได้เขากลัวหนูไปเจอผู้ชายข้างห้อง เจอผู้ชายคนอื่น”

บัวยังบอกอีกว่าเธอเคยพยายามจะคุยกับเขาแต่ก็ปรึกษาหารือไม่ได้เลย ทะเลาะกันตลอด เขาไม่เคยยอมรับตัวเองว่าที่เขาเป็นแบบนี้มันผิดปกติเขาไม่ไปรักษา เขาบอกว่าเป็นเพราะบัวที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ กับลูกเขาก็เข้มงวดถ้าไม่ได้ดั่งใจเขาก็ตี บัวเคยหนีไปอยู่กับแม่แต่เขาก็รู้จักบ้านแม่เขาก็ไปอาละวาดตามกลับมา แรก ๆ เขาบอกจะปรับปรุงตัวแต่ได้ไม่นาน กลับมาอยู่ด้วยกันเขายิ่งหวาดระแวงกว่าเดิม ถึงแม้ต่อมาเขาจะเลิกเสพยาแล้วแต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม บัวคิดว่าเป็นเพราะแต่ก่อนพ่อของเขาทำกับเขาแบบนี้มาก่อนเข้มงวดบงการชีวิตไม่ให้ออกจากบ้านและทุบตี  เขาก็เลยเก็บกดมาทำกับลูกกับเมียต่อ เขาจะหวาดระแวงทุกอย่าง บางครั้งกับลูกเขาก็จะพาไปตรวจอีเอ็นเอเขาว่าไม่ใช่ลูกของเขาทั้งที่เขาขังบัวไว้ในบ้านตลอดไม่ให้ไปไหนเลย บัวเล่าถึงพฤติกรรมของนายเจมส์อีกว่า

“มีตอนกลางคืน หนูตื่นมาไม่เจอเขาก็ตามหาว่าเขาอยู่ที่ไหน ...ที่ไหนได้เขาแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้า(ตู้พลาสติกมีซิป) เพื่อแอบดูว่าหนูจะคุยกับใครไหม หนูจะทำอะไรถ้าเขาไม่อยู่ หนูจะหนีเขาไปไหม คือเขาโรคจิตมาก”

นอกจากนี้บัวยังเปิดใจเล่าให้ฟังในอีกปัญหาหนึ่งที่เธอรู้สึกไม่ไหวกับผู้ชายคนนี้ คือ

“ที่หนูรับไม่ได้อีกเรื่องคือเขามีอารมณ์ทางเพศสูงมาก ถ้าเขาต้องการต้องมีถ้าไม่ยอมก็มีเรื่องกันจนหนูต้องยอม ลูกอยู่ด้วยตื่นหรือหลับก็ต้องมี ท้องเพิ่งคลอดเขาก็ไม่สนใจถ้าเขาต้องการเขาต้องได้ คืออย่างน้อยเขาต้องได้วันละครั้ง เขาไม่สามารถควบคุมได้เลย เขาไม่สนใจว่าหนูจะพร้อมหรือไม่พร้อม หนูไม่โอเคกับเรื่องนี้ถ้าหนูไม่คุมหนูคงมีลูกกับเขาแบบหัวปีท้ายปีอ่ะ”

เมื่อถามบัวว่าแล้วมีอะไรที่ทำให้เราคิดว่าอยู่กับคนนี้ไม่ได้แล้วเธอบอกว่า

“ใช้ชีวิตกับเขามันน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ เวลาทะเลาะกันเขาก็จะชอบพูดว่า กูอยากจะฆ่ามึงจริง ๆ เขาพูดบ่อยมากหนูก็กลัวไม่รู้เขาจะมาปาดคอเราตอนไหนเพราะเขาเคยเอามีดดาบหัวตัดที่เขาบอกว่าซื้อไว้ป้องกันตัวออกมาชี้หน้ามาขู่อยู่ตลอด ถ้าอยู่กับเขาก็ไม่รู้จะตายวันไหน”

บัวรู้จักบ้านพักฉุกเฉินจากเพจเฟซบุ๊กก็เลยหาโอกาสพาลูกออกมา ปัจจุบันบัวกับลูกอยู่ในความดูแลของบ้านพักฉุกเฉินมาเป็นระยะเวลาได้เกือบสองเดือนแล้ว เมื่อมาอยู่บ้านพักก็รู้สึกดีไม่เครียด มีเพื่อนและมีกิจกรรมให้ทำ ชีวิตหลังจากนี้บัววางแผนไว้ว่า จะไม่กลับไปหาเขาอีกขออย่าได้พบเจอกับเขาอีกเลย เธอจะฝากลูกที่บ้านพักฉุกเฉิน ไปทำงานและเธอก็อยากเรียนต่อกศน. เพราะตอนอยู่กับนายเจมส์เขาไม่ให้เธอเรียน เธออยากได้โอกาสและเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

.........................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว  ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่  สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1    ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2929 2301-7 ต่อ 109,113     E-mail: admin@apsw-thailand.org     เว็บไซต์สมาคม  www.apsw-thailand.org หรือบริจาคเงินผ่าน ปันบุญ

ชีวิตใหม่

  ชีวิตใหม่ Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง...