วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

หลุมพรางออนไลน์



...หลุมพรางออนไลน์...
Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ



โลกอินเตอร์เน็ต หรือ โซเชียล เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่มีประโยชน์มากมาย มันช่วยเชื่อมเรื่องราวของทุกมุมโลกไว้ด้วยกัน ทุกวันนี้คนจากทุกมุมโลกสามารถสื่อสาร เห็นหน้าค่าตากันได้โดยผ่านแอปพลิเคชันหลากหลายชนิด และในทางกลับกันเมื่อ มีคุณอนันต์ ก็ย่อม มีโทษมหันต์ หากมีผู้ใช้ที่มีเจตนาชั่วร้ายใช้มันเพื่อล่อลวงเหยื่อที่ยังเป็นเด็กน้อยอ่อนต่อโลก ดังเช่น...“น้องหนู”... สาวน้อยตัวเล็ก วัยเพียง 14 ปี ด้วยวัยของน้องหนูนั้นยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่น่าจะร่าเริงสดใส วิ่งเล่นกับเพื่อนๆอยู่ในโรงเรียน แต่น้องหนูคงทำเช่นนั้นไม่ได้ไปอีกเกือบปี เพราะน้องหนูประสบภัยจากโลกโซเชียล เธอถูกชายหนุ่มใจชั่วล่อลวงไปข่มชืน จนท้อง น้องหนูจึงต้องเข้ามาอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉิน ด้วยปัญหา ตั้งครรภ์ไม่พร้อม ตั้งแต่อายุครรภ์ได้ 4 เดือน

เด็กสาวที่ควรจะสดใส กลับมีใบหน้าหมองเศร้า ขณะเล่าเรื่องราวบางส่วนในชีวิตให้ฟังว่า

“หนูท้อง เพราะความผิดพลาด กับนายเจตน์ เขาอายุ 23 ปีแล้ว หนูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย เพราะเราแค่รู้จักกันทางเฟสบุ๊ค เขาทักแชทมาหนูก็ตอบไปธรรมดาแค่คุยกันเป็นเพื่อนเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาก็มักจะชวนว่า...ออกมาเจอกันหน่อย...เขาก็ชวนออกไปเจอกันบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ออกไปตามคำชวนเขาสักที ”
แต่ด้วยความเป็นเด็กที่ผ่านโลกอันโหดร้ายมาเพียงน้อยนิด ด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อคุยกันผ่านเฟสบุ๊คและถูกนายเจตน์ ชักชวนบ่อยครั้งเข้า น้องหนูจึงกลายเป็นแมงเม่าที่บินเข้าหากองไฟอย่างง่ายดาย 
 “เขานัดให้ไปพบกันที่หน้าห้างบิ๊กซี หนูก็ไปคนเดียว ไม่คิดอะไรเพราะว่าที่ห้างก็คนเยอะแยะ ตอนเจอกันก็ไม่ได้ประทับใจอะไร เขาก็หน้าตาไม่ค่อยดี แต่ตัวใหญ่กว่าหนูมาก คุยกันที่บิ๊กซีไม่นานเขาก็บอกว่าจะพาไปกินข้าวและค่อยไปส่งบ้าน...แต่เขาไม่ได้พาไปอย่างที่บอกกลับพาหนูไปที่ๆแห่งหนึ่ง คงเป็นโรงแรมมั้ง?...หนูก็ไม่รู้  แล้วเขาก็ใช้กำลังบังคับข่มขืนหนูที่นั่น หนูสู้เขาไม่ได้เลยเพราะเขาตัวใหญ่กว่าหนูมาก หลังจากเขาทำหนูแล้วก็พามาส่งที่เดิม...มันเป็นความผิดพลาดของหนู..หนูไม่พูดอะไรกับเขาอีกเลย...เฟสบุ๊คหนูก็ไม่ติดต่อกับเขาอีก...หนูไม่คิดว่าหนูจะท้อง”
 หลังเกิดเหตุร้ายที่เข้ามาในชีวิต น้องหนูพยายามที่จะคิดว่ามันเป็นเพียงฝันร้าย เธอไม่ติดต่อกับนายเจตน์อีกเลย เธอพยายามที่จะลืมและดำเนินชีวิตตามประสาเด็กวัยรุ่นของเธอต่อไป แต่ฝันร้ายของน้องหนูก็ยังตามมาหลอกหลอนเธออย่างต่อเนื่อง เพราะชายใจชั่วอย่างนายเจตน์ ไม่ใช้ถุงยางอนามัย ประจำเดือนของน้องหนูขาดหายไปหลายเดือน หน้าท้องของเธอก็เริ่มนูนขึ้น ด้วยเธอเป็นเด็กสาวที่มีรูปร่างผอมบางเมื่อพุงออก รุ่นพี่ข้างบ้านเริ่มผิดสังเกตุ และนำเรื่องมาบอกกับยายของน้องหนู ยายจึงได้พาน้องหนูไปหาหมอและผลตรวจก็ออกมาว่าน้องหนูท้อง แล้วน้องหนูจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ยายฟัง เมื่อยายรับรู้เรื่องราวทั้งหมด จึงได้ไปปรึกษาปัญหากับอาจารย์ประจำชั้นของเธอ อาจารย์ได้ช่วยเหลือเรื่องการพักการเรียนชั่วคราวให้กับน้องหนู และยังติดต่อบ้านพักฉุกเฉิน เพื่อส่งน้องหนูมาพักชั่วคราวระหว่างรอคลอด
สำหรับสภาพจิตใจของน้องหนูนั้น เราพบว่า เธอมีความเครียดและวิตกกังวลค่อนข้างสูง ด้วยทุกครั้งที่เธอคิดถึงเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับตนเองเธอก็ยังคงโทษตนเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของตนเอง ที่ไปหลงเชื่อและไว้ใจคนอื่นมากเกินไป จนทำให้เกิดเรื่องที่ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะของตนเองเท่านั้นยังส่งผลมาเป็นปัญหาใหญ่ให้กับยายผู้ซึ่งเฝ้าเลี้ยงดูเธอมาแต่เล็กแต่น้อย
 “หนูไม่มีพ่อไม่มีแม่ หนูอยู่กับยายและก็ตามาโดยตลอด หนูเรียกยายว่าแม่ เขาต้องทำงานเลี้ยงดูและส่งเสียให้หนูเรียนหนังสือ และยังต้องดูแลตาที่ป่วยเป็นโรคไตและโรคอัมพฤกษ์ ตอนนี้ยายก็ตกงาน หนูก็มามีปัญหาอีก หนูสงสารยาย เท่านี้ยายก็มีภาระมากพอแล้ว หนูก็มาสร้างเรื่องให้ยายอีก ถึงยายจะไม่ได้ว่าอะไรหนูแต่หนูก็รู้ว่ายายผิดหวังและเสียใจ”
ทุกวันนี้น้องหนูใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเล็กๆ ที่เรียกว่า “บ้านพักฉุกเฉิน” ที่ให้การดูแลเธอ ทั้งเรื่องการไปตรวจท้องและฝากท้อง และแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับชายชั่วที่ชอบล่อลวงเด็กสาวทางเฟสบุ๊ค เธอบอกว่า หลังคลอดลูก แล้วเธอจะเรียนต่อ จะไม่ทำให้ยายผิดหวัง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับน้องหนูนั้นถึงจะเป็นเรื่องเศร้าเป็นรอยด่างในชีวิตของเธอ แต่เธอก็ยังยินดีแบ่งปันกับเราเพื่อที่จะแบ่งปันไปยัง เด็กวัยรุ่น หรือผู้หญิงคนอื่นๆ ให้ระวังภัยที่แฝงมาทางโลกออนไลน์ โลกโซเชียลที่หลายๆคนอาจหลงไหล สำหรับตัวน้องหนูนั้นเรื่องนี้คือ “ผิดเป็นครูสำหรับเธอ” แต่สำหรับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ น้องหนูก็ไม่อยาก และไม่ต้องการให้ได้ครูที่แลกมาด้วยฝันร้ายอย่างเธอ
.......................................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว  ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่  สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ  บ้านพักฉุกเฉิน  501/1ซ.เดชะตุงคะ 1  ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม.
 E-mail:admin@apsw-thailand.org หรือ เฟสบุ๊คFacebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน ดอนเมือง (https://www.facebook.com/apswthailand.org) และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และหาทุน สมาคมฯ โทร.0 2929 2301-7 ต่อ 109,113                      E-mail:donate@apsw-thailand.org หรือสามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org

     เรื่อง  ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน ผู้เขียน จิตรา นวลละออง 

เมื่อผู้หญิงรู้ว่าท้องทั้งที่ยังไม่พร้อม...จะทำอย่างไร?...

เมื่อผู้หญิงรู้ว่าท้องทั้งที่ยังไม่พร้อม...จะทำอย่างไร?...

ากการสำรวจข้อมูลผู้หญิงที่ประสบปัญหา ท้องไม่พร้อม ซึ่งพักพิงเพื่อรอคลอดและพักฟื้นหลังคลอดในบ้านพักฉุกเฉิน ตั้งแต่ช่วงเดือน มิถุนายน-สิงหาคม 2554 จำนวน 20 ราย พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า...ผู้หญิงจำนวน 14 ราย เมื่อแรกที่รู้ว่าท้องพวกเธอเหล่านั้นคิดถึงการทำแท้งเป็นสิ่งแรก

       ในจำนวนผู้หญิงที่คิดทำแท้ง 14 ราย นั้น มี ผู้ที่ตัดสินใจและได้ลงมือทำจำนวน 9 ราย เมื่อแยกตามวิธีการทำแท้งแล้วจะพบว่าในเบื้องต้นผู้หญิงจะใช้วิธีการจัดการ ด้วยตนเองคือ การกินยาตรางูผสมเหล้าขาว การกินยาบำรุงเลือดจำพวกยาสตรีต่างๆแต่หากไม่สำเร็จจะใช้วิธีการไปหาแหล่งทำ แท้งภายนอก ดังจะเห็นได้ว่ามีผู้หญิงหลายคนที่ไม่ได้ใช้วิธีการทำแท้งเพียงแค่วิธีเดียว เมื่อทดลองวิธีแรกไม่สำเร็จ ก็จะลองทำอีกหลายวิธี และจะไปจบลงที่คลินิกทำแท้งแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากสาเหตุหลักคือ ไม่มีเงิน เพราะเมื่ออายุครรภ์มากขึ้นก็จะต้องเพิ่มเงินในการทำมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้มีผู้หญิง 3 ใน 10 ราย ที่ตรงไปหาสถานที่ทำแท้งโดยที่ไม่ใช้วิธีการอื่นๆร่วมด้วยเลย รวมทั้งยังมีผู้หญิงอีก 1 ราย ที่คิดว่าการทำงานหนัก ไม่ฝากครรภ์และไม่บำรุงครรภ์ก็จะช่วยให้เธอแท้งลูกไปได้เอง

       มีผู้หญิงเพียง 6 รายเท่านั้นที่บอกว่า “ถึง แม้เธอจะท้องไม่พร้อม ก็ไม่คิดทำแท้ง” ซึ่งในจำนวน 6 รายนี้ มีผู้หญิงซึ่งโชคร้าย 2 ราย ที่ไม่ต้องการทำแท้งแต่มีเหตุจำเป็นที่ต้องทำ รายแรกนั้นถูกบังคับจากสามีและภรรยาหลวงโดยให้คนพาไปคลินิกทำแท้งแต่ไม่ สามารถทำได้เนื่องจากอายุครรภ์เธอผ่านพ้น 4 เดือนไปแล้ว เมื่อกลับมาภรรยาหลวงของสามีจึงหายาตรางูมาผสมเหล้าขาวให้เธอทานแต่ก็ไม่มี อะไรเกิดขึ้นนอกจากอาการร้อนวูบวาบในท้องหลังทานยาเท่านั้น ส่วนอีก 1 รายแพทย์มีความเห็นว่าเธอควรยุติการตั้งครรภ์เนื่องจากปัญหาสุขภาพซึ่งเธอ เองมีโรคประจำตัวอยู่แล้วและยังได้รับเชื้อโรคร้าย คือ เชื้อเอช ไอ วี มาจากสามีจึงทำให้เธอไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อย่างที่ต้องการ 

 

ผู้หญิงที่คิดทำแท้งและได้ลงมือทำจำนวน 9 ราย
วิธีการ
จำนวน(ราย)
1.กินยาบำรุงเลือดสตรี(ยาสตรีเบนโล,ยาสตรีเพ็ญภาค)
2  ราย
2.กินยาตรางู ผสมเหล้าขาว
1  ราย
3.ไปคลิกนิคทำแท้งเถื่อน
3  ราย
4.กินยาบำรุงเลือดสตรี(ยาสตรีเบนโล,ยาสตรีเพ็ญภาค)กินยายาตรางู ผสมเหล้าขาวและไปคลินิกทำแท้งเถื่อน
1 ราย
5.กินยาผสมเหล้าขาว(ยาตรางู /ยาช้างแรด)และไปคลินิกทำแท้งเถื่อน
1  ราย
6.ไม่บำรุงครรภ์ ไม่ฝากครรภ์และทำงานหนัก คิดว่าจะให้แท้งเอง
1  ราย
รวม
9 ราย
ผู้หญิงที่มีความจำป็นและถูกบังคับ ให้ต้องทำแท้งจำนวน 2 ราย
วิธีการ
จำนวน(ราย)
1.ไปคลินิกทำแท้งเถื่อน และกินยตรางูผสมเหล้าขาว
1ราย
2.แพทย์วินิจฉัย ทำการยุติการตั้งครรภ์เนื่องจากมีโรคประจำตัวทาลัสซีเมีย เบาหวานและติดเชื้อ เอช ไอ วี
1ราย
รวม
2 ราย

อะไรเป็นปัจจัยให้พวกเธอตัดสินใจเช่นนั้น
      
 สาเหตุหลักที่บีบให้ผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อมต้องคิดหาทางออกด้วยการทำ แท้งทั้งๆที่พวกเธอทั้ง 14 คนนั้นต่างนับถือศาสนาพุทธ และมีความเชื่อเรื่องบาป-บุญ ว่าการทำแท้งนั้นจะทำให้ชีวิตคนเราตกต่ำและทำมาหากินไม่เจริญ แต่พวกเธอก็ยังคิดถึงการทำแท้ง เพื่อเป็นทางออกของปัญหาทั้งที่ในชีวิตแทบไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย...นั่นเป็น เพราะ...
  • แฟน/สามีปฎิเสธความรับผิดชอบและขาดการติดต่อ 11 ราย
  • สามีเปลี่ยนไปทั้ง เสพยาบ้าและทุบตีทำร้ายร่างกาย 2 ราย
  • ความสัมพันธ์แบบไม่จริงจัง 1 ราย(หลังจากเลิกคบหากับแฟนเพราะเบื่อๆกันไปและต่างไปมีแฟนใหม่ จึงรู้ว่าท้อง)

พวกเธอรู้และเข้าถึงช่องทางในการทำแท้งได้อย่างไร?
       “เมื่อรวมผู้หญิงที่ประสบปัญหาท้องไม่พร้อมกลุ่มที่มีความคิดต้องการ ทำแท้ง และลงมือทำ จำนวน 9 ราย กับกลุ่มที่ไม่มีความคิดทำแท้งแต่มีความจำเป็นบังคับจำนวน 2 ราย จะพบว่ามีผู้หญิงที่ทำแท้งทั้งหมด 11 รายโดยช่องทางการเข้าถึงอันดับแรกคือมาจากเพื่อนแนะนำ รองลงไปก็จะเป็นญาติ สามีและภรรยาหลวงของสามี จากสถานที่สาธารณะ และการวินิจฉัยทางการแพทย์ อย่างละ 1 ราย ซึ่งในกรณีจากสถานที่สาธารณะที่สามารถพบเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่ติดอยู่ตามรถ โดยสารสองแถวนั้นเป็นช่องทางที่ค่อนข้างเปิดเผยอย่างมากในสังคมไทย สังคมที่การทำแท้งเป็นเรื่องผิดกฏหมาย และเป็นสังคมที่เราเชื่อกันว่าเราเป็นชาวพุทธ

ช่องทางการเข้าถึงวิธีการทำแท้ง
จำนวน(ราย)
1.เพื่อนแนะนำ
6 ราย
2.ด้วยตนเอง
1 ราย
3.ญาติแนะนำและพาไป
1 ราย
4.สามีและภรรยาหลวงของสามี
1 ราย
5.สถานที่สาธารณะ(พบเห็นเบอร์โทรศัพท์คลินิกวางแผนครอบครัวติดอยู่ที่รถโดยสารสองแถวจึงเสี่ยงโทรสอบถาม)
1 ราย
6.การวินิจฉัยทางการแพทย์ เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ
1 ราย
รวม
11 ราย

เสียงสะท้อนจากผู้หญิงที่เคยท้องไม่พร้อม... ผู้หญิง ที่ประสบปัญหาท้องไม่พร้อมที่อยู่ในบ้านพักฉุกเฉินส่วนหนึ่งได้สะท้อนถึง ความคิดเห็น มุมมอง และความต้องการของตนเองในประเด็นต่างๆดังนี้

ประเด็นการทำแท้ง
“ในความรู้สึกของหนูเด็กไม่รู้เรื่องด้วย ถ้าจะโทษ...โทษแม่ดีกว่า การทำแท้งมันบาป ทำอะไรก็ไม่เจริญ” “ตอนที่คิดทำแท้งมันเป็นอารมณ์ ที่ไม่รู้จะทำยังไงแฟนเขาก็ไม่รับ ท้องก็โต...แต่มาถึงวันนี้คลอดลูกแล้วก็ดีใจที่ตอนนั้นไม่มีเงินทำ” “ตอนแรกที่รู้ว่าท้อง บอกกับแฟนเขาก็เฉยๆ แถมเขายังกินเหล้าและไปติดผู้หญิงอื่นซ้ำยังทำร้ายร่างกายเราด้วย ตัวเองก็กลัวว่าถ้าแฟนทิ้งจะเลี้ยงลูกคนเดียวไม่ไหว เพราะต้องเลี้ยงลูกคนโตอีก ไม่มีเงินไปทำแท้งก็เลยไม่สนใจดูแลตนเอง ไม่บำรุง ไม่ไปหาหมอไม่ฝากท้อง ทำงานหนัก คิดว่าอาจจะแท้งไปเอง ตอนนี้สิ่งที่อยากบอกกับผู้หญิงหรือน้องๆที่ท้องไม่พร้อมว่ามาอยู่บ้านพัก ฉุกเฉินดีกว่าการไปทำแท้ง และตนเองไม่เสียใจเลยที่มีลูกคนนี้” “ตอนที่หนูคิดทำแท้งนอนไม่หลับเลยและเด็กถีบแรงมาก อาจเกิดจากความเครียด ไม่มีหนทาง แต่พอรู้ว่ามีสถานที่ช่วยเหลือคือบ้านพักฉุกเฉิน ก็ดีขึ้น เริ่มมีทางออก จึงไปทำบุญให้ลูกเพื่อให้ลูกอโหสิให้” “แฟนเลี่ยงไม่รับผิดชอบ หนูเลยคิดจะไปทำแท้ง จะบอกให้พ่อแม่รู้ก็กลัวแต่พอคิดไปก็สงสารลูกเลยไม่ทำ แต่หนูก็เห็นใจผู้หญิงที่ไปทำนะ เพราะปัญหาของคนเราไม่เหมือนกัน” “ตัดสินใจทำไปแล้วก็เสียใจ กลัวลูกพิการ กลัวลูกออกมาไม่สมบูรณ์ ถ้าย้อนกลับไปได้ในวันนั้นจะไม่เลือกทำแท้งคิดว่าการมีลูก 1 คน มีความสุขเหมือนเป็นของขวัญให้กับชีวิตและได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย ถ้าหนูไม่ท้องลูกคนนี้ก็ไม่รู้ว่าหนูจะเป็นยังไงอาจจะทำตัวแย่ๆเหมือนเดิม” “มันมีเหตุผลหลายอย่าง ทั้งเรื่องงาน เงิน พ่อแม่ ครอบครัว ตอนนั้นที่คิดไปทำเพราะยังไม่รู้จักบ้านพักฉูกเฉิน ถ้ารู้ก็คงไม่ทำ” “ตอนที่คิดทำ ท้องได้ 3 เดือนแฟนเขาไม่ยอมรับว่าเป็นลูกเขาๆว่าเราทำงานร้านอาหาร...พอหนูทำไปแล้วก็ รู้สึกว่าตัวเองผิด เพราะว่าเด็กเขาไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเราไม่มีทางเลือก ตอนนี้คลอดลูกแล้วก็อยากบอกกับแฟนว่าเนี่ยลูกเขา อยากให้เขารับรู้ว่าเขาเป็นพ่อ” “ตอนรู้ทีแรกว่าท้อง 3 เดือนทุกคนในบ้านก็ต่างดีใจแต่พอหนูท้องได้ 5 เดือนสามีก็เปลี่ยนไป ไม่ทำงานเอาแต่เสพยาบ้า บอกให้เลิกก็ไม่เลิกพอไม่มีเงินก็มาบังคับเอากับเราพอเราไม่ให้ก็ทำร้าย ก็เลยอยากทำแท้งจะได้เลิกกับเขา ไม่อยากทนอยู่แล้ว ขนาดตอนท้องเขายังทำร้ายเลย บางทีก็คิดอยากตาย ไม่อยากอยู่แล้ว ช่วงนั้นเรื่องบาปกรรมไม่คิดแล้วเพราะมันเครียดมาก พอทำแล้วเขาไม่ออก อีกใจก็เลยมาคิดว่าเขาคงอยากมาอยู่กับเรา”

และสุดท้ายฝากบอกผู้ชายว่า ตอนที่เราท้องก็ไม่เอาปฏิเสธ...จนเราจะไปทำแท้งพอเราคลอดลูก แล้วมาบอกว่าจะเอาลูกไม่เอาเรา...แล้วเราอุ้มท้องของเรามาตั้ง 9 เดือน รับปัญหาทุกอย่างมาคนเดียวสุดท้ายจะมาเอาลูกเราไป...ใครจะยอม...เห็นแก่ตัว “ผู้หญิงน่ะเขาไม่ได้ต้องการอะไรจากผู้ชายมากมาย ไม่ได้ต้องการเงินทอง หรือต้องมาเลี้ยงดู ไม่ต้องมาดูแลอะไร ขอแค่มาแสดงตัวว่าเป็นพ่อ ร่วมกันรับผิดชอบ ว่าเป็นพ่อแม่เด็ก แล้วหลังจากนั้นจะแยกกันไปก็ไม่เป็นไร...คำว่าท้องไม่มีพ่อเนี่ยมันเจ็บปวดนะสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง...”

ข้อมูล ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน
ที่ปรึกษา ดร.เมทีนี พงษ์เวช 
ผู้เขียนและภาพ  จิตรา นวลละออง

ชีวิตใหม่

  ชีวิตใหม่ Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง...