วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ชีวิตที่ดิ้นรนของปราณี

 

ชีวิตที่ดิ้นรนของปราณี

Base on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

“เคยถามตัวเองว่าชาติที่แล้ว หนูทำกรรมอะไรไว้นะชาตินี้เกิดมาพ่อแม่ก็ไม่รัก ร่างกายก็พิการ มีแฟนก็หวังพึ่งพาฝากผีฝากไข้แต่ก็ไม่ได้เลย จนมาคิดได้ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่หนูเป็นอย่างนี้ก็ไม่เคยคิดไปเหลวไหลติดยาอะไรนะ ไม่ชอบ เคยมีคนชวนเสพยาบอกว่าจะได้ผอม เลยบอกเขาไปว่า  ...กูยอมอ้วนอย่างนี้น่ะดีแล้ว เสพยาแล้วเงินก็ไม่มีเหลือ”

ประโยคที่ทั้งตัดพ้อต่อชะตาชีวิตของตนเองทั้งแฝงด้วยอารมร์ขัน ได้หลุดออกมาจากปากของ สาวใหญ่ร่างท้วม ผิวสองสี วัย 30 กว่าปี ที่ชื่อว่า “ปราณี”

ปราณี มีความพิการทางร่างกาย ขาของปราณีไม่เท่ากันทำให้การเดินเหินของเธอดูไม่คล่องตัวนัก ความพิการนี้ติดตัวปราณีมาแต่กำเนิด ซึ่งตากับยายที่เลี้ยงดูปราณีมาบอกเล่าว่าน่าจะมาจากการที่แม่ของปราณีพยามทำแท้งด้วยการกินยาขับเลือดแต่ไม่สำเร็จ ความพิการทางกายของปราณีนอกจากจะเป็นหลักฐานที่แสดงถึงปมด้อยทางกายของเธอแล้ว ยังเป็นหลักฐานของปมด้อยภายในใจของปราณีอีกด้วยว่าเธอไม่ได้เกิดมาด้วยความรัก

ตั้งแต่ปราณีจำความได้เธอไม่เคยได้รู้ว่าพ่อที่แท้จริงของตนเองเป็นใครมีหน้าตาอย่างไร เธอรู้แต่เพียงว่า แม่มักจะเปลี่ยนแฟนใหม่ไปเรื่อย ๆ ในวัยเด็กแม่ไม่ได้ดูแลปราณีเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่ปราณีถูกเลี้ยงดูโดยตาและยาย แม้ท่านทั้งสองจะมีฐานะยากจนส่งเสียให้ปราณีเรียนได้แค่ชั้นป.6 แต่วัยเด็กของเธอเธอก็มีความสุขดี หลังจากเรียนจบปราณีออกมาทำงานรับจ้างเย็บผ้า และพยายามเรียนกศน.ด้วยตนเองจนอายุ19 ปี เธอจึงเรียนจบชั้นม.3

หลังจากเรียนจบปราณีก็ยังคงทำงานรับจ้างเย็บผ้าโหลที่เดิมเรื่อยมาอีกหลายปี จนได้พบรักกับ “นายเอ” ซึ่งทำงานเป็นรปภ.อยู่ที่โรงงานเดียวกัน ทั้งคู่คบหาเป็นแฟนกันได้ราว ๆ หนึ่งปี ปราณีเห็นว่านายเอเป็นคนนิสัยดีมีความรับผิดชอบ จึงตกลงอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน หลังจากที่อยู่ด้วยกันไม่นานนายเอก็เปลี่ยนแปลงไปมีพฤติกรรมไม่ค่อยกลับบ้านและมักจะบอกว่าต้องอยู่ยามควงเวร จนปราณีท้องลูกคนแรกได้ประมาณ 5 เดือน ปราณีได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาติดต่อสามีของตนเองว่า

“ฮัลโหล...ขอสายเอค่ะ” เสียงสาวนิรนามเอ่ยขึ้นเมื่อปราณีรับสายโทรศัพท์

“ตอนนี้เอไม่อยู่ค่ะ ใครโทรมาเนี่ยคะ?” ปราณีตอบกลับไปพร้อมกับเริ่มมีความระแวงสงสัย

 “บอกเขาว่าเมียของเขาโทรมาให้โทรกลับด้วย” สาวนิรนามบอกกล่าวระบุตัวตนของตนเองจนปราณีแทบทำโทรศัพท์ร่วงหลุดจากมือ ภายในใจของปราณีกลับคิดว่าถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียนายเอแล้วตนเองล่ะเป็นอะไรปราณีจึงกลั้นใจถามกลับไปว่า “แล้วคุณเจอกับเขาได้ยังไง?”

“เขามาทำงานอยู่ยามที่หมู่บ้านที่ฉันอยู่เนี่ย เอเขาก็มาอยู่กับฉันตลอดแหล่ะ ... บอกเขาให้โทรกลับหาเมียเขาด้วยล่ะ แค่นี้นะ” สาวนิรนามย้ำตำแหน่งของตนเองให้ปราณีฟังอีกครั้ง ก่อนที่จะวางสายไป     ปราณีวางโทรศัพท์ลงอย่างงงงวย

            เมื่อปราณีนำปัญหาไปปรึกษาแม่ แม่บอกให้ปราณีเลิกกับนายเอทันที และยังบอกอีกว่าหลานคนเดียวแม่เลี้ยงได้ นั่นจึงเป็นจุดแตกหักของการมีครอบครัวครั้งแรกของปราณี เธอตัดสินใจย้ายมาอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยงตั้งแต่ยังท้อง โดยที่นายเอไม่ได้ติดต่อหรือมีส่วนรับผิดชอบค่าเลี้ยงดูใด ๆ เลย แต่หลังจากย้ายมาอยู่กับแม่เธอก็ต้องมาพบกับปัญหาใหม่คือ พ่อเลี้ยงมักจะลวนลามล่วงเกินหาเศษหาเลยกับเธออยู่เสมอ แม้เธอจะมีลูกอ่อนก็ตาม จนครั้งหนึ่งถึงกับเป็นคดีความเมื่อพ่อเลี้ยงเมาและคิดจะปลุกปล้ำปราณี แต่มีคนเข้ามาช่วยเธอไว้ได้ จึงได้เกิดการแจ้งความกันขึ้น แต่แม่ก็ยังคงอ้อนวอนให้ปราณียอมความ โดยให้เหตุผลว่า “มันอยู่กับกูมันก็ดูแลกูเวลากูเจ็บป่วย” ปราณีจึงเห็นแก่แม่ไม่เอาเรื่องพ่อเลี้ยง เมื่อทั้งสามคนกลับมาอยู่ด้วยกันพ่อเลี้ยงก็ยังไม่เลิกพฤติกรรมเดิม ๆ ปราณีทนไม่ไหว เธอหวาดกลัวว่าตัวเองจะพลาดท่าเสียทีต่อพ่อเลี้ยงเข้าวันไหนสักวัน จึงบอกเรื่องนี้กับแม่อีกครั้งแต่แม่ของเธอกลับบอกว่า

“มึงอย่าบอกใครนะ กูอายคนอื่นเขา  ... จะให้กูทำยังไงล่ะ... นั่นก็ลูกนี่ก็ผัว”

“งั้นหนูจะเป็นฝ่ายไปเอง” ปราณีตัดปัญหาด้วยการเอาตัวเองออกมาจากครอบครัวของแม่ โดยที่ยกลูกชายให้อยู่ในความดูแลของแม่ เพราะตัวเธอเองไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเองเลยถ้าเอาลูกออกมาก็คงพากันออกมาอดตาย

เมื่อปราณีออกมาใช้ชีวิตคนเดียว เธอจึงพยายามหางานแต่ก็สมัครงานอะไรไม่ได้ เธอจึงเอาเงินเก็บไปลงทุนขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดซึ่งก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ผ่านไปได้ ปราณีใช้ชีวิตดิ้นรนเพียงลำพังได้ไม่นานก็ตัดสินใจอยู่กินกับ “นายเติม” ที่มีอาชีพรับจ้างเข็นของในตลาด นายเติมเป็นคนพิการหูตึงทำให้ปราณีคิดว่าคนพิการด้วยกันคงจะเห็นใจกัน แต่ก็ไม่เป็นอย่างหวัง เพราะแม้นายเติมจะพอมีเงินให้ใช้ แต่ก็หาเรื่องทะเลาะตบตีอยู่ตลอด เธอบอกว่า

“โอ้ย!... ไม่ไหวอยู่ด้วยกัน 6 เดือน ดีอยู่ได้ 3 เดือนแรก พอ 3 เดือนหลัง ตีกันทุกวัน เลยหนีไปบวชตอนไปบวชตายังเขียวคางยังโย้อยู่เลย เจ้าอาวาสที่บวชให้ยังมองแบบงงๆ เลยบอกหลวงพ่อว่าบวชให้หนูหน่อยเถอะหนูทุกข์มามากแล้ว บวชแล้วก็กรวดน้ำคว่ำขันกันไปอย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลยคนแบบนี้ บวชอยู่เป็นเดือนถึงได้หลุดมาจากมัน”

เมื่อสึกจากบวชชี ปราณีก็กลับมาขายของได้ประมาณ 2 ปี เธอก็ได้พบกับ “นายวี” ที่มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เขามีอายุมากกว่าเธอสิบปี ด้วยความที่ นายวี มีความเป็นผู้ใหญ่และนิสัยดี ปราณีจึงปลงใจที่จะเริ่มมีชีวิตครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้นายวีก็ไม่ได้ทำให้ปราณีผิดหวังแต่อย่างใด เขาเป็นสามีที่ดี มาโดยตลอดระยะเวลา 8 ปี “หนูยังโชคดีที่ได้เจอคนดี แต่คนที่ดีมักจะอยู่กับเราไม่นาน” ปราณีหัวเราะขื่น ๆ ให้กับชะตาชีวิตของตนเอง เพราะ ในช่วงที่คลอดลูกได้ไม่ถึง 2 เดือน สามีที่ดีที่สุดของเธอก็มาตายจากไปด้วยอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อต

“ชีวิตพลิกผันไม่คิดว่าเขาจะไปเร็วขนาดนั้นตอนตีห้าก่อนไปทำงานเขายังยื่นเงินให้เป็นค่านมลูก พอ10 โมงมีคนมาบอกว่าพี่เขาเสียชีวิตแล้ว รู้สึกเสียใจ จะทำยังไงกับชีวิต มันมืดไปหมด ชีวิตมันล้มทำอะไรไม่ถูก”

หลังจากสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป แม้ด้วยทรัพย์สินของสามีจะช่วยให้ปราณีและลูกไม่ลำบากในช่วงแรก แต่เงินทองก็ร่อยหลอไปกับการทำศพสามี อีกทั้งเธอที่มีลูกอ่อนก็ไม่ได้ทำงานอะไรชีวิตมีแต่รายจ่าย ปราณีจึงนำลูกไปฝากให้ญาติสามีดูแลส่วนเธอก็ต้องออกตระเวนหางานทำ แต่ด้วยสภาพร่างกายที่พิการของเธอทำให้ไม่มีใครรับเธอเข้าทำงาน เมื่อกลับไปขายของตลาดนัดก็ได้รายได้ไม่พอยาไส้ และยังไม่พอส่งให้ลูก เมื่อเงินที่ติดก้นกระเป๋าเหลืออยู่เพียง 20 บาท ปราณีจึงต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อลูกและเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยการประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ ครั้งแรกเธอได้รายได้ 2,000 บาท และครั้งต่อ ๆ มารายได้ขั้นต่ำของเธออยู่ที่ 500 บาท แม้ปราณีจะประกอบอาชีพที่ใครหลาย ๆ คนในสังคมดูถูกและรังเกียจ แต่เธอก็ไม่ละเลยในการรับผิดชอบต่อตนเองและต่อสังคม ปราณีให้แขกใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง อีกทั้งเธอยังไปตรวจเลือดทุก ๆ 3 เดือน

ชีวิตของปราณีอาจจะแย่ลงหรือดีขึ้นต่อจากนี้เราก็ไม่อาจรู้ได้ถ้าหากเมื่อปีที่แล้วเธอจะไม่พบกับ “นายสนอง” ชายผู้มีอายุมากกว่าเธอร่วม 10 ปี เขามีอาชีพขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ในช่วงแรกที่เขาเข้ามาในชีวิตของเธอเขาก็รู้ดีว่าเธอประกอบอาชีพอะไร แต่เขาก็มีความเห็นใจช่วยเหลือเกื้อกูลเรื่องเงินทองกับปราณีอยู่เสมอ จนปราณีใจอ่อนและตกลงอยู่กินด้วยกัน ปราณีบอกว่ากับนายสนองเมื่ออยู่กันแบบผัวเมียแล้วเธอจึงไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ไม่นานปราณีก็ตั้งท้องลูกคนเล็ก เมื่อไปตรวจและฝากครรภ์หมอบอกว่า ผลเลือดของปราณีมีปัญหา เธอมีเลือดบวก ซึ่งบ่งบอกว่าเธอติดเชื้อ เอช ไอ วี ปราณีคิดว่าเธอคงติดโรคมาจากนายสนองอย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้าจะอยู่ด้วยกันผลเลือดเธอยังปกติดี

 “หนูก็มาบอกกับพี่สนองเขานะ ว่าให้ไปตรวจเลือดเขาก็ไม่ไป พอบอกว่าถ้าเป็นเอดส์ล่ะ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร ก็ตายด้วยกัน ตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ก็หดหู่นะแต่ก็เอาวะคนเรายังไงมันก็ต้องตายทุกคน คนอื่นเป็นเอชไอวี แล้วยังเป็นวัณโรคด้วย งั้นเราก็ยังดีนะเราเป็นแค่โรคเดียว”

ปราณีเล่าว่าชีวิตครอบครัวของเธอกับนายสนองก็ปกติสุขดี เขาดูแลดี รับผิดชอบดีทุกอย่าง แต่พอวันที่จะคลอดลูกเขาก็หายไป “เขาบอกว่า เขาจะไปขับวินหาเงินมาส่งค่ารถ แล้วเขาก็เอาเงินไปด้วยสองพัน หนูให้เขาไปจ่ายค่าเช่าห้อง แล้วเขาก็หายไปเลย ค่าเช่าห้องก็ไม่ได้จ่าย ตกกลางคืนหนูก็ปวดท้องคลอดก็ไปผ่าท้องคลอดลูกอยู่ที่โรงพยาบาล อยู่เป็นผู้ป่วยอนาถา นอนอยู่ 7-8 วัน ไม่มีผัวมาดูมาเยี่ยมเหมือนคนอื่นเขาเลย เงินที่หนูให้เขาไปก็ไปกู้นอกระบบมา เจ็ดพัน ส่งไปให้คนที่เลี้ยงลูกคนรองห้าพัน ให้เขาสองพัน นี่หนูยังต้องไปหาเงินใช้หนี้นอกระบบอีก ไม่รู้ว่าดอกจะเท่าไรไปแล้ว... ”

เมื่อนายสนองผู้เป็นสามีขาดการติดต่อ ห้องเช่าที่ไม่ได้จ่ายค่าเช่า ลูกที่เพิ่งผ่าคลอด ร่างกายที่ยังไม่แข็งแรง ทำให้ปราณีต้องขอความช่วยเหลือจากนักสังคมสงเคราะห์ที่โรงพยาบาล เขาจึงให้คำแนะนำและส่งตัวเธอกับลูกน้อยมาพักฟื้นที่บ้านพักฉุกเฉิน เธอบอกกับเราว่า ทีแรกก่อนที่จะมาอยู่เธอมีความเครียดและกลัว แต่พอได้อยู่ที่นี่ก็มีความสุขดี ไม่มีคนรังเกียจในโรคที่เป็น แถมยังมีเจ้าหน้าที่ช่วยดูแล ปราณีวางแผนในอนาคตไว้ว่าเมื่อเธอแข็งแรงแผลผ่าคลอดหายดีแล้ว เธอจะฝากลูกไว้กับบ้านพักฉุกเฉิน

ถ้าหนูดีขึ้นจนออกจากบ้านพักจะไปตามหาเขาที่วิน ตอนนี้ก็ยังคาใจว่าเขาหายไปไหน จริง ๆ ถ้าจะทิ้งเราก็ควรจะบอกเราสักคำ แต่หนูก็เผื่อใจไว้แล้วหากชีวิตนี้จะไม่เจอเขา เสียใจแต่ก็พยายามทำใจ ไม่มีเขาเราก็ต้องอยู่ดูแลลูกต่อไปให้ได้”

เมื่อเราถามถึงวันข้างหน้าว่าเธอจะกลับไปประกอบอาชีพเช่นเดิมหรือไม่ปราณีก็นั่งครุ่นคิดกับตัวเองสักพักและเอ่ยกับเราว่า

“อนาคตต่อไปก็ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ อาชีพนั้นหนูก็ไม่ได้อยากทำถ้ามีทางเลือก ...ก็อาจจะหางาน ขายของตลาดนัด แต่ว่าหนูหางานยากพิการ ไม่เหมือนคนปกติ

นี่เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งจากผู้หญิงที่เติบโตมาจากครอบครัวที่แตกแยก ชีวิตของเธอต้องดิ้นรนทั้งปากกัดตีนถีบ หามื้อกินมื้อ สุขสบายในช่วงสั้น ๆ ของชีวิต การประกอบอาชีพของเธอก็คงไม่มีใครสามารถไปตัดสินความผิดถูกได้เพราะมันคือทางเลือกแคบ ๆ ทางเดียวในขณะนั้น แต่เธอก็ยังยิ้มแย้มและมองโลกในแง่ดีอย่างที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตด้วยเธอมีแนวคิดว่า  ชีวิตหนูพลิกแบบหน้ามือเป็นหลังมือคลออดลูกคนที่2นอนโรงพยาบาลเอกชนห้องพิเศษมีผัวมาเฝ้าดูแลตลอด พอคลอดลูกคนนี้นอนเป็นคนไร้ญาติอยู่ห้องรวมเลย ก็คิดท้อแท้เหมือนกันนะ แต่ไม่ได้ท้อจนคิดฆ่าตัวตาย ”

 ทิ้งท้ายการพูดคุยปราณีได้ฝากบอกกับเราไปถึงคนในสังคมอย่างหวังดีว่า หญิงขายบริการทางเพศหลากหลายคนหลากหลายสถานที่ต่างก็แตกต่างกันหลายประเภท เธอเคยพบหญิงขายบริการทางเพศคนหนึ่งที่ติดเชื้อ เอช ไอ วี แต่ไม่ได้ให้แขกใช้ถุงยางอนามัย เมื่อปราณีแนะนำให้ใช้เธอคนนั้นกลับบอกว่า “จะสนใจทำไมยังไงก็เป็นอยู่แล้ว ยังไงก็ตายอยู่ดี” ซึ่งปราณียังบอกกับเราอย่างติดตลกอีกว่า “หนูจำหน้าแขกของเขาไว้ทุกคนเลยใครที่เขาไปด้วย หนูจะไม่ไปด้วยเลย”

........................................................................................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่                                                                                             สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน          โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 

อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org   Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org



วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เหยื่อ


เหยื่อ

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ



รู้ไหมว่า มีผู้หญิงและเด็ก ไม่น้อยกว่า 7 คนถูกทำร้ายร่างกายในทุก ๆ วัน นั่นหมายถึงทุก ๆ 3 ชั่วโมงจะมีเด็กและผู้หญิงตกเป็นเหยื่ออย่างน้อย 1 คน ข้อมูลจาก องค์การสหประชาชาติระบุว่า ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ของโลก ผู้ชายใช้ความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิง โดย 1 ใน 3 เป็นความรุนแรงทางด้านจิตใจ ซึ่งกลุ่มที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวและร้องขอความช่วยเหลือนั้นมีเพียงร้อยละ 17 จากทั้งหมดและ รายงานจากศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พบว่าในปี 2562 ที่ผ่านมา เกิดความรุนแรงในครอบครัว 1,376 เหตุการณ์มีการดำเนินคดีเพียง 354 คดี เฉลี่ยแล้วมีการดำเนินคดีไม่ถึงครึ่งของจำนวนเหตุการณ์จริงทั้งหมดโดย 53% ถูกกระทำความรุนแรงโดยคู่รักหรือคนในครอบครัว  ผู้กระทำความรุนแรง ‘มากกว่าครึ่ง’ เป็นคนคุ้นเคยหรือบุคคลในครอบครัว โดยสถานที่เกิดเหตุเกิดมักจะเป็นในที่พักของผู้ถูกกระทำ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเภทข่าวข่มขืน และมีหลายกรณีที่อาศัยความไว้ใจเชื่อใจในการล่อลวงเหยื่อมาเพื่อกระทำการดังกล่าว เช่นเรื่องราวของ "บิว" ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้  

        บิว เด็กหญิงที่แม่ทอดทิ้งให้เป็นลูกของคนอื่นตั้งแต่แรกคลอดและไปมีสามีใหม่ ส่วนพ่อแท้ ๆ เสียชีวิตตั้งแต่บิวยังเป็นทารก บิวได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวลุงกับป้าโดยไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของตน แม้บางครั้งเมื่อเขาโมโหก็จะถูกด่าว่าไม่ใช่ลูกก็ไม่เคยเชื่อ จนกระทั่งช่วงที่เรียนอยู่ชั้นป.2 บิวถูกคนที่ตนเองคิดว่าเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดข่มขืน และข่มขู่ไม่ให้บอกใคร จนวันหนึ่งบิวก็มีเลือดเป็นลิ่ม ๆ ไหลออกมาจากอวัยวะเพศ ลุงบอกกับป้าว่าบิวหกล้มในห้องน้ำหลังจากนั้นก็ร่วมกันแก้ปัญหาด้วยการให้บิวใส่ผ้าอนามัย แต่เลือดก็ยังไม่หยุดไหล เลยจำเป็นต้องส่งไปโรงพยาบาลเมื่อได้เข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญผลที่ออกมาไม่ได้สอดคล้องกับเรื่องโกหกที่ลุงแต่งจึงมีการสืบความจนได้ความจริงว่าลุงข่มขืนหลาน จึงได้ดำเนินคดีกับลุง ระหว่างดำเนินคดีบิวอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ของรัฐแห่งหนึ่งซึ่งที่นี่ได้พยายามติดตามหาแม่ที่แท้จริงของบิวจนพบ  บิวจึงได้รู้ความจริงว่าเธอไม่ใช่ลูกของลุงกับป้า

บิวอยู่ที่สถานสงเคราะห์แห่งนั้น 1 เดือนแม่จึงได้รับตัวบิวไปฝากไว้กับน้า และแม่ก็พาพี่ ๆ อีก 3 คน เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ จนกระทั่งบิวอายุย่าง 15  ปี แม่จึงพาพี่กลับมาอยู่กับน้าอีก และการมาของแม่และพี่ในครั้งนี้ก็ทำให้บิวต้องตกเป็นเหยื่ออีกครั้งหนึ่ง... หญิงชายวัยกำลังหนุ่มกำลังสาวที่แม้จะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันแต่ไม่ได้มีความผูกพันฉันท์พี่น้องเลย ต่างคนต่างคล้ายคนแปลกหน้าต่อกันมาอยู่ร่วมกัน บ้านที่พักอาศัยก็ไม่ได้มีการกั้นห้องเป็นสัดส่วน จึงเป็นช่องทางให้พี่ชายคนที่ 3 ซึ่งอายุ 20 ปี ได้พยายามข่มขืนบิว ครั้งแรกไม่สำเร็จแต่บิวไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครทราบเพราะเด็กหญิงไม่รู้จะบอกใครถ้าพูดไปแล้วใครจะเชื่อ... เธอก็เหมือนคนที่อยู่ตัวคนเดียวในโลก... บิวจึงเก็บความหวาดกลัวไว้ภายในจิตใจเพียงคนเดียวเมื่อมีความพยายามในครั้งแรกจึงมีความพยายามในครั้งต่อมาจนสำเร็จ...บิวจึงตกเป็นเหยื่อครั้งแล้วครั้งเล่า...ความเงียบและการเก็บเรื่องเลวร้ายนี้ไว้คนเดียวคือทางออกที่เด็กผู้หญิงวัย 15 ปี จำต้องเลือกให้กับตัวเองเนื่องจากมองไม่เห็นทางเลือกอื่นอีกแล้ว

ต่อมาแม่ได้ย้ายเข้ามาทำงานรับจ้างในกรุงเทพฯ อีกครั้ง และบิวได้ตามมาด้วย บิวเริ่มมีความหวังว่าชีวิตของตนเองน่าจะหลุดพ้นเสียทีแต่พี่ชายก็ได้ตามมากรุงเทพฯเพื่อมาขอกับแม่ให้เขาได้ใช้ชีวิตคู่อยู่กินกับบิวแบบสามีภรรยาซึ่งแม่กลับยินยอม  บิวจึงต้องกล้ำกลืนอยู่กับพี่ชายในรูปแบบความสัมพันธ์ที่พวกเขาต้องการ จะให้บิวทำอย่างไรก็บิวเพิ่งอายุ 15 ปี งานก็ไม่มีทำ บ้านก็ไม่มี ความรู้ก็ไม่มี บัตรประชาชนแม่ก็ไม่พาไปทำแม่บอกว่าไม่สำคัญ บิวจึงต้องตกอยู่ในสภาพ เหยื่อของคนในครอบครัวอีกครั้ง... และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อบิวตั้งท้องและคลอดลูกคนแรกออกมาเป็นเด็กปัญญาอ่อน (Down Syndrome) เพราะเป็นลูกของชายหญิงที่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และหลังจากคลอดลูกคนแรกไม่นานก็ท้องลูกคนที่สองด้วยความหวาดหวั่นว่าจะเหมือนคนแรกหรือไม่แต่ก็ยังพอมีโชคดีอยู่บ้างที่ลูกคนที่สองมีสุขภาพปกติและแข็งแรงดี ชีวิตครอบครัวของบิวในช่วงแรก ๆ ถ้าทำใจลืมเรื่องที่ถูกพี่ชายข่มขืนจนต้องตกมาเป็นภรรยาของเขา ลืม ๆ ไปว่าคือพี่น้องท้องเดียวกันก็ปกติสุขดีจะมีทะเลาะกันบ้างในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ไม่ค่อยจะพอใช้แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นทุบตีทำร้ายกัน แต่หลังจากคลอดลูกคนที่สอง ได้ ปีกว่า ๆ สามีก็ติดยาบ้าอย่างหนัก จนบิวทนไม่ไหวจึงหอบลูกทั้งสองไปอาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง ชีวิตช่วงนี้จึงเริ่มเข้าที่เข้าทาง บิวและพ่อเลี้ยงไปทำงานรับจ้าง แม่เลี้ยงลูกให้... แต่ความสุขมักผ่านไปไวเสมอ... เมื่อสามีหรืออีกนัยหนึ่งก็คือพี่ชายของบิวมาตามกลับบ้านแต่บิวไม่ยินยอม เขาจึงเอาน้ำกรดที่ได้เตรียมมาสาดและราดจากหัวลงไปถึงลำตัวของบิว แต่บิวยังพอมีสติดีเธอคว้าถังน้ำที่อยู่ใกล้ตัวมาราดตัวเองและร้องเรียกหาคนช่วย...

แม่ส่งบิวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง บิวมีอาการทรมานปวดแสบปวดร้อนไปตามศีรษะ ใบหน้า ลำตัว ขาข้างซ้าย และแขนทั้งสองข้าง แผลเริ่มดำคล้ำไหม้และพุพองมากขึ้น บิวต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นโรงพยาบาลได้ส่งบิวเพื่อมาพักฟื้นที่บ้านพักฉุกเฉินส่วนพี่ชายได้หนีหายไป ตำรวจยังไม่สามารถจับตัวได้

บาดแผลทางกายและบาดแผลทางใจของบิวรวมทั้งความหวาดกลัวว่าตนเองจะต้องอัปลักษณ์เสียโฉมด้วยแผลเป็นที่นูนออกมาหลายแห่งบนร่างกาย รวมทั้งรอยด่างบนใบหน้า ส่งผลให้บิวมีสภาพอารมณ์แปรปรวนไม่อยากจะพูดคุยกับใคร วัน ๆ เอาแต่ร้องไห้และทรมานอยู่คนเดียว บิวต้องทานยาคลายเศร้าอยู่เป็นประจำ ...ชีวิตของบิวต้องตกเป็นเหยื่อของคนในครอบครัวอยู่เรื่อยมา... บิวบอกกับเราว่าเธอพยายามหาทางออกให้กับตัวเอง ด้วยการอ่านหนังสือธรรมะ และเรียนฝึกอาชีพหลักสูตร เย็บผ้า เผื่อว่าในสักวันข้างหน้าเธอจะได้มีอาชีพที่พอจะหาเลี้ยงตนเองได้โดยที่ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของใครอีกต่อไป

………………………………………………………………………………………………………

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว  ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่  สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1    ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-7 ต่อ 109,113   E-mail: admin@apsw-thailand.org    เว็บไซต์สมาคม www.apsw-thailand.org    


วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Shopboon for บ้านฉุกเฉิน : จำหน่ายผลิตภัณฑ์งานฝีมือบ้านพักฉุกเฉิน


ร้าน : Shopboon for บ้านฉุกเฉิน

จำหน่ายผลิตภัณฑ์งานฝีมือบ้านพักฉุกเฉิน 


   ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นผ่านการทำมืออย่างประณีต ของ ผู้หญิง กลุ่มหนึ่ง ณ บ้านพักฉุกเฉิน ดอนเมือง สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ พวกเธอประสบปัญหาวิกฤตในชีวิต ปัญหาท้องไม่พร้อม ถูกสามีทุบตีทำร้ายร่างกาย - จิตใจ ฯลฯ ล้วนบั่นทอนศักยภาพ คุณค่า และความเชื่อมั่น “งานฝึกอาชีพ” จึงนับเป็นกระบวนการฟื้นฟู เยียวยา เพื่อเรียกคืนศักดิ์ศรีและตัวตนของทุกคนกลับคืนมา

***โปรดช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยการส่งเสริมด้านอาชีพ ให้พวกเธอได้มีราย

ได้ มีกำลังใจ พร้อมที่จะกลับคืนสู่สังคมอย่างเข้มแข็ง และ มีความสุข   

ด้วยการอุดหนุนผลิตภัณฑ์งานฝีมือของสมาชิกบ้านพักฉุกเฉิน***


ติดต่อสอบถามและซื้อสินค้าได้ที่

1. พูดคุยกับเราที่ ChatกับShopboon
2.โทร : 085 9004 412  ตั้งแต่ 09.00-16.00น. วันจันทร์ถึงวันศุกร์ และอาทิตย์

 หรือ โทร  : 085 1388 333 วันเสาร์ เวลา 08.00-17.00น.

3.LINE ID: alex_0429

เมื่อคุณลููกค้าเลือกสินค้าที่ต้องการได้แล้วรวมทั้งได้ติดต่อสอบถามทำข้อตกลงเรื่องราคาสินค้า+ค่าจัดส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว กรุณา สั่งซื้อได้โดย

การสั่งซื้อและแจ้งชำระเงิน

1.ชำระค่าสินค้าผ่านธนาคาร

 ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขบัญชี 105 - 217137- 4 ชื่อบัญขี สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ (Association for the Promotion of the Status of Women)

2.กรอกรายละเอียดของท่านในลิงก์   แบบฟอร์มแจ้งชำระค่าสินค้า

การจัดส่งสินค้า

ส่งจาก            เขตดอนเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร

บริษัทขนส่ง     Thailand Post ไปรษณีย์ไทย (EMS)

การจัดส่ง        จัดส่งสินค้าทุกวันจันทร์-ศุกร์


ขนส่งและระยะเวลาในการจัดส่ง

Thailand Post (ไปรษณีย์ไทย) ประมาณ 1-5 วันทำการ ระยะเวลาจัดส่ง

สินค้า คือ จำนวนวันของการขนส่งสินค้า โดยจะเริ่มนับจากวันที่ที่ผู้ให้

บริการขนส่งสินค้า(ไปรษณีย์ไทย)ได้รับสินค้าจากร้าน Shopboon 

เรียบร้อยแล้ว

***หมายเหตุ กรณีลูกค้าต้องการให้จัดส่งขนส่งเอกชน เช่น Grab หรือLine man หรืออื่น ๆ มารับสินค้า ทางร้านรบกวนลูกค้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่งเอง

วิธีการติดตามสินค้า

1.เมื่อทางร้านจัดส่งสินค้าแล้วจะจัดส่งใบเสร็จค่าจัดส่งสินค้าพร้อมรหัสการติดตามสินค้า หรือ tracking number ไปยังผู้ซื้อ

2.ติดตามได้โดยกรอก รหัสการติดตามสินค้า หรือ tracking 

number ทางเว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชั่นของ ผู้ให้บริการขนส่ง

สินค้า ตามลิงก์  Thailand Post(ไปรษณีย์ไทย) 

3.หรือส่งข้อความมาที่  Chat กับ Shopboon 

***หากผู้ซื้อสินค้าไม่ได้รับสินค้า หรือสินค้าที่ได้รับไม่ครบ หรือไม่สมบูรณ์ ผู้ซื้อสินค้า

สามารถแจ้งกลับมาทางร้านภายในระยะเวลา 7 วัน หลังจากสถานะ “การจัดส่งสำเร็จ

 (Successful delivery)” จากบริษัทขนส่ง***

การขอคืนสินค้าและขอเงินคืน ทำได้ในกรณีสินค้ามีปัญหาดังนี้

สินค้าอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ 

 ได้รับสินค้าไม่ครบ

สินค้าไม่ถูกต้องตามที่ลงจำหน่าย(ไม่ตรงปก) 

สินค้าผิดขนาด 

สินค้าที่ได้รับไม่ใช่สินค้าที่ท่านสั่งซื้อ 

***การขอเงินค่าสินค้าและค่าจัดส่งคืนเพียงอย่างเดียว ทำได้ในกรณีที่ ลูกค้าไม่ได้รับสินค้าที่ทางร้านได้ทำการส่งไป และทำการตรวจสอบแล้วว่าเป็นความบกพร่องของทางร้าน หรือบริษัทขนส่งเท่านั้น***

ขั้นตอนการขอคืนสินค้าและขอเงินคืน

หากผู้ซื้อสินค้า ไม่ได้รับสินค้า หรือสินค้าที่ได้รับมีปัญหาได้รับไม่ครบ หรือไม่สมบูรณ์ หรือ

สินค้าไม่ถูกต้องตามที่ลงจำหน่าย(ไม่ตรงปก) สินค้าผิดขนาด สินค้าที่ได้รับไม่ใช่สินค้าที่สั่งซื้อ

 ผู้ซื้อสินค้าต้องดำเนินขั้นตอนดังนี้

1. ลูกค้าแจ้งกลับมาทางร้านผ่านทาง  ChatกับShopboon   ภายในระยะเวลา 7 วัน หลังจากสถานะ “การจัดส่งสำเร็จ (Successful delivery )” จากบริษัทขนส่ง  

2.ให้กรอกรายละเอียดในลิงก์  แบบฟอร์มการขอคืนสินค้าและขอเงินคืน  

2.รอการตอบรับยืนยันคำขอคืนสินค้าจากทางร้าน  

3.หลังจากที่ทางร้านตอบรับยืนยันคำขอคืนสินค้าให้ทำการแพ็คสินค้าที่ต้องการคืนและทำการ

จัดส่งมายังร้านค้าภายในระยะเวลา 3 วัน นับตั้งแต่ วันที่มีการตอบรับยืนยันคำขอคืนสินค้า

4.เมื่อคุณลูกค้าดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นเรียบร้อยแล้วกรุณาแจ้งค่าส่งสินค้าโดยส่งหลักฐานการจัดส่งสินค้าไปรษณีย์ไทย (ems) มาที่ลิงก์  ChatกับShopboon  กรุณาถ่ายภาพและอัพโหลดใบเสร็จค่าจัดส่งสินค้าที่ชัดเจน โดยให้เห็นรหัสการติดตามสินค้าและราคาค่าส่ง

*ขอให้ส่งกลับโดยบริการขนส่งไปรษณีย์ไทยเท่านั้น ซึ่งทางร้านจะดำเนินการคืนค่าส่งสินค้าให้ท่านตามจริง*

***ในกรณีที่ลูกค้าจัดส่งสินค้าคืนโดยขนส่งอื่นที่ไม่ใช่ไปรษณีย์ไทย ลูกค้าจะไม่ได้รับค่าจัดส่งสินค้าในส่วนเกินจากอัตราส่วน EMS ของไปรษณีย์ไทย ในกรณีที่ร้านไม่สามารถยืนยันอัตราค่าส่งสินค้าคืนได้ ร้าน Shopboon จะขอยึดตามอัตราค่าขนส่งสินค้าขาแรกที่ทางร้านได้จัดส่งให้กับลูกค้า*** 

ระยะเวลาในการคืนเงินค่าสินค้าและค่าจัดส่ง (ตามจริง) ภายใน 7-15 วันทำการ หลังจากทางร้าน Shopboon ได้รับสินค้าที่ลูกค้าส่งคืน โดยยึดจาก “การจัดส่งสำเร็จ (Successful delivery )” จากบริษัทขนส่ง

*หมายเหตุ วันทำการหมายถึงวันจันทร์-ศุกร์ ไม่รวมวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์*


การเปลี่ยนสินค้า

ทำได้ในกรณี เป็นสินค้าชนิดเดียวกัน  ราคาเท่ากัน และสินค้าต้องอยู่ในสภาพเดิม  ทางร้าน

Shopboon  ยินดีให้ท่านเปลี่ยนสินค้าในเงื่อนไขที่สภาพสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ป้ายราคา

ยังมีสภาพเหมือนตอนรับ ภายใน 7 วัน จากวันที่ท่านได้รับสินค้า ยึดตามสถานะ “การจัดส่ง

สำเร็จ (Successful delivery )” จากบริษัทขนส่ง กรณีที่สินค้ามีจำนวนหลายชิ้นหรือเป็นแพ็ค 

ท่านต้องจัดส่งสินค้ามาเปลี่ยนทั้งแพ็ค หรือทุกชิ้น โดยขั้นตอนดังนี้

1.ลูกค้าแจ้งกลับมาทางร้านภายในระยะเวลา 7 วัน หลังจากสถานะ “การจัดส่งสำเร็จ (Successful delivery )” จากบริษัทขนส่ง โดยติดต่อเจ้าหน้าที่ทาง ChatกับShopboon 

2.ให้ลูกค้า กรอกรายละเอียดในลิงก์ แบบฟอร์มการขอเปลี่ยนสินค้า

3.รอการตอบรับยืนยันคำขอเปลี่ยนสินค้าจากทางร้าน  

4.หลังจากที่ทางร้านตอบรับยืนยันคำขอเปลี่ยนสินค้า ให้คุณลูกค้าทำการแพ็คสินค้าที่ต้องการคืนและทำการจัดส่งมายังร้านค้าภายในระยะเวลา 3 วัน นับตั้งแต่วันที่มีการตอบรับยืนยันคำขอคืนสินค้า 

***หากสินค้ามาถึงทางร้าน เกินเวลา 3 วันตามที่กำหนด ทางร้าน shopboon จะส่งสินค้าเดิมคืนลูกค้า โดยลูกค้าต้องรับผิดชอบ

ในค่าจัดส่งสินค้าทั้งหมด***

5.ร้านShopboonจะทำการเปลี่ยนสินค้าให้กับท่านและจัดส่งสินค้า ภายใน 7 วันทำการ

6.คุณลูกค้า/ผู้ซื้อ ต้องรับผิดชอบในส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดส่งเพื่อเปลี่ยนสินค้าทั้งหมด

ทั้งการแลกเปลี่ยนสินค้า และขอคืนสินค้าและขอคืนเงิน กรุณาแพ็คสินค้าแล้วส่งกลับมาที่

กรุณาส่ง

        คุณสุภาภรณ์  สองห้อง

        ฝ่ายการศึกษาและฝึกอาชีพ อาคารนารินทร์กรุณา (คืนสินค้า)

        สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

        เลขที่ 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ 

        แขวงสีกัน เขต ดอนเมือง กรุงเทพฯ

        10210

        โทร.: 0859004412 หรือ 0851388333



วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2563

สาหัส

 

สาหัส

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ


“นิดหน่อย” ที่เพิ่งเข้ามารับการช่วยเหลือที่บ้านพักฉุกเฉิน เธอประสบปัญหาสามีใช้ความรุนแรงกับเธอและลูก ซึ่งลูกสาววัยสองเดือนของเธอถูกสามีทำร้ายร่างกายจนมีอาการสาหัสและเข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และยังไม่สามารถจะบอกได้ว่าลูกสาวของนิดหน่อยจะสามารถมีลมหายใจและลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ได้อีกครั้งหรือไม่?...

       นิดหน่อย เป็นเด็กสาววัยรุ่น อายุเพียง 15 ปี รูปร่างผอมสูง ผิวคล้ำ ด้วยวัยที่เพิ่งจะพ้นวัยเด็กมาเพียงน้อยนิดแต่นิดหน่อยกลับผ่านอะไรต่ออะไรมาอย่างมากมาย... ในวัยเด็กพ่อแม่ของนิดหน่อยต่างก็ชิงเสียชีวิตไปก่อนทำให้นิดหน่อยไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อและแม่มากนัก มีเพียงป้าที่เป็นพี่สาวของพ่อที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่จำความได้จนนิดหน่อยเรียกป้าว่าแม่ ป้านั้นก็ต้องทำงานตัวเป็นเกลียว ด้วยป้าก็มีลูกของตนเองให้ต้องดูแลอยู่แล้ว 3 คน อีกทั้งเมี่อลุงเสียชีวิตป้าก็ไม่ได้มีสามีใหม่ ป้ายังคงเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีเรือพ่วงให้ดูแลอีกสี่ชีวิต... แต่นิดหน่อยก็ยังบอกว่าเธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดความอบอุ่นเพราะป้าก็เอาใจใส่ดี

       นิดหน่อย ยอมรับว่าเธอไม่ใช่เด็กดี เรียบร้อย เท่าใดนัก อายุ 13 ปี เธอก็ทดลองมาหมดแล้วทั้ง บุหรี่ กัญชาและยาบ้า เธอบอกว่า “ ก็แค่อยากลองเฉยๆ… หนูสูบบุหรี่ทุกวันๆ ละ 2-3 มวน แต่หนูไม่ติดนะมาอยู่ที่นี่หนูก็ไม่ได้สูบก็ไม่ได้อยากอะไรมากไม่สูบก็ได้ ” นิดหน่อยเรียนจบชั้นป.6 เธอก็ไปทำงานรับจ้าง ทั้งรับจ้างก่อสร้าง และรับจ้างตามโรงงานต่างๆ

         นิดหน่อย ผ่านการมีสามีมา 3 คน และมีลูกสาว 1 คนที่เกิดกับสามีคนแรก เธอเล่าถึงสามีคนแรกให้เราฟังว่า

          “กับคนแรกเราพบกันเพราะว่าเป็นเพื่อนๆ พี่ๆ กลุ่มเดียวกัน ตอนนั้นหนูอายุ 13 ปี พี่เขาอายุ 27 ปี ก็คบกันประมาณ 4-5 เดือนแล้วก็เลยมาอยู่กินด้วยกัน ก็อยู่ด้วยกันเกือบสองปี ก็คุมด้วยการกินยาคุมแต่กินบ้างไม่กินบ้างก็ท้องน้องที่ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลนั่นแหล่ะค่ะ แต่หนูเลิกกับเขาตั้งแต่ยังท้องนะคะ”

         เมื่อถามถึงสาเหตุของการเลิกลานิดหน่อยจึงบอกว่า “ ดูแล้วไม่ไหวเลย เขาขี้เกียจ พึ่งพาไม่ค่อยได้ ไม่มีความรับผิดชอบ เลิกเลยดีกว่า ”

         หลังจากเลิกกับสามีคนแรก นิดหน่อยจึงกลับมาอยู่กับป้า และไม่กี่วันนิดหน่อยก็ตกลงอยู่กินกับผู้ชายอีกคนหนึ่งเขาอายุเพียง 18 ปี ทำอาชีพรับจ้างทั่วไป นิดหน่อยรู้จักกับเขามาเป็นปีแล้ว และเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่เธอท้อง แต่หลังจากคลอดลูกได้เพียงสิบกว่าวันก็มีเหตุให้นิดหน่อยต้องเลิกกับสามีคนนี้อย่างที่ไม่มีทางเลือก... ซึ่งเป็นเหตุให้ชีวิตของลูกสาวของเธอที่ยังเป็นทารกต้องตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นความตายเช่นปัจจุบันนี้

       นั่นคือสามีคนที่ 3 ผู้ชายวัย 29 ปี ที่เหมือนถูกยัดเยียดเข้ามาสู่ชีวิตของนิดหน่อย... ในอดีตเขาเคยผ่านมาเป็นฝันร้ายของนิดหน่อยครั้งหนึ่งแล้วแต่นิดหน่อยไม่เคยเล่าให้ใครฟัง... ด้วยเธอคิดว่าฝันร้ายครั้งนั้นคงจะไม่กลับมาหาเธออีก… แต่…

         “ หนูไม่เคยรักเขาเลย แต่ว่าเมื่อสองปีก่อนเขามาเสพยาอยู่ละแวกบ้าน และเขาก็บังคับให้หนูมีเพศสัมพันธ์ด้วยครั้งหนึ่ง… แล้วพอมาตอนนั้นอยู่ๆ เขาก็มาที่บ้าน… หนูว่าเขาคงเมายาด้วย… เขามาอาละวาดไล่แฟนใหม่หนูแล้วมาบอกว่าหนูเป็นเมียของเขาแฟนใหม่ของหนูก็เลยเลิกกับหนู ”

          หลังจากความจริงเปิดเผยแทนที่ผู้ชายคนนี้จะถูกกีดกันจากนิดหน่อยกลับกลายเป็นว่าเธอต้องอยู่กินกับฝ่ายชาย เพราะที่บ้านของเขาค่อนข้างมีเงินมีอิทธิพล… แต่นิดหน่อยก็บอกว่าในช่วงแรกๆ เขาก็ดีกับเธอและลูกมาก เขาช่วยเลี้ยงดูลูกและยังดูรักลูกของนิดหน่อยมาก แต่พอผ่านไปสักสองเดือนเขาก็เริ่มเหม่อลอย และใช้ความรุนแรง เวลาที่เขาโมโหหึงก็จะใช้ทั้งมือและเท้าทำร้ายเธอพร้อมทั้งด่าทอ ตะคอก คำหยาบสารพัด และหนักเข้าการใช้ความรุนแรงของเขาก็เริ่มลุกลามมาที่ลูกของเธอ… เขาทำกับลูกของเธอสารพัด เริ่มตั้งแต่ ตะคอก ตวาด ให้เงียบเมื่อเด็กร้อง ทุ่มตัวเด็กลงที่นอนอย่างแรง ๆ ถ้ายังไม่เงียบก็จะเอาสิ่งแปลกปลอมกรอกปาก… แม้เป็นผู้ใหญ่ก็คงจะทนไม่ไหวนับประสาอะไรกับเด็กทารกวัยเพียงสองเดือนเท่านั้น... สุดท้ายเด็กน้อยจึงบาดเจ็บสาหัสจากการถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายและมีภาวะเป็นน้อยกว่าตาย... ซึ่งนิดหน่อยบอกว่า

         “ ปาฎิหารย์เท่านั้นมั้งพี่ที่จะช่วยให้ลูกหนูฟื้นและกลับมาเป็นปกติ... หนูคงไม่หวังอะไรบางทีก็คิดว่าถ้าเขาไปจะได้ไม่ทรมานแบบนี้… เวลาหนูไปยี่ยมลูกหนูสงสารเขาตัวเขาแค่นั้นแต่สายอะไรไม่รู้เต็มตัวไปหมด... หนูบอกเขานะว่า… ถ้ามันไม่ไหวมันทรมานก็ไปเถอะไม่ต้องห่วงแม่…ไว้ชาติหน้าค่อยกลับมาเป็นแม่ลูกกันใหม่ ”

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org

ชีวิตใหม่

  ชีวิตใหม่ Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง...