วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พ่อเลี้ยงใจโฉดกับแม่แท้ๆ ผู้ไม่ใยดี

พ่อเลี้ยงใจโฉดกับแม่แท้ๆ ผู้ไม่ใยดี
                            Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ
เจ้าของเรื่อง: ผู้หญิงและเด็กที่พักพิงอยู่ในบ้านพักฉุกเฉิน
ผู้เขียน: ปองธรรม สุทธิสาคร ,Edit:จิตรา นวลละออง
 “เดือนแรม” สาวน้อยอายุ 16 ปี หญิงสาวเจ้าเนื้อผิวสองสี ที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์   ขาข้างหนึ่งดามเหล็กเอาไว้เนื่องจากเคยประสบอุบัติเหตุ  นอกจากนี้แม้เดือนแรมจะเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แต่เดือนแรมก็ไม่สามารถเขียนหนังสือ หรืออ่านหนังสือได้ เนื่องจากเดือนแรมมีความบกพรอ่งทางสติปัญญา ดังนั้นบ้านพักฉุกเฉินจึงส่งเสริมเดือนแรมในด้านการพัฒนาทักษะด้านอาชีพ เพื่อที่จะได้มีวิชาชีพ มีทักษะติดตัวไปประกอบอาชีพได้
เบื้องหลังชีวิตของเดือนแรมก่อนจะมาอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉินนั้นเรียกได้ว่า ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายเสียอีก ครอบครัวของเดือนแรมนั้นแตกแยก พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงต้องอาศัยอยู่กับญาติข้างแม่ที่ต่างจังหวัด ขณะที่ผู้เป็นแม่เดินทางเข้ามาทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นานทีปีหนจึงจะกลับบ้านมาหาเธอ แม้จะเรียนหนังสือไม่เก่งนักแต่เดือนแรมก็เป็นเด็กใฝ่ดี ขยันขันแข็ง เอาการเอางาน เธอช่วยญาติทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้  ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่เมืองหลวง หลังจากเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
  เดือนแรมพักอาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยงในห้องเช่าเล็กๆ สามีคนใหม่ของแม่ประกอบอาชีพพนักงานขับรถสิบล้อด้วยความที่กลัวจะเป็นภาระของแม่ เดือนแรมจึงไปสมัครงานเป็นเด็กเสิร์ฟอาหาร และล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวในละแวกที่อยู่อาศัย  ชีวิตของเด็กหญิงเดือนแรมน่าจะเป็นชีวิตที่เรียบง่ายไม่หวือหวา เธอคงจะอาศัยอยู่กับแม่และทำงานเก็บเงินไปเรื่อยๆ หากว่าในวันหนึ่งจะไม่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่กลายเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวด  และเลวร้ายในชีวิตของเธอ
...พ่อเลี้ยงกลับมาจากทำงานเข้ามาเจอเดือนแรมอยู่ที่ห้องเช่าคนเดียว หลังจากนั้นก็ลงมือล่วงละเมิดและข่มขืนเธอ ขณะนั้นเดือนแรมยังเด็ก พ่อเลี้ยงข่มขู่บังคับเธอไม่ให้บอกใคร หลังจากวันนั้นเธอก็อยู่ในห้องเช่าด้วยความกลัว หวาดระแวง โดยเฉพาะเวลาที่แม่ไม่อยู่
พ่อเลี้ยงยังหาโอกาสกระทำกับเดือนแรมในทุกๆ ครั้งที่เขามีโอกาส เธอถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นเด็กหญิงที่ขี้กลัว ไม่กล้าสู้หน้าใคร กลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างแรง       เด็กสาววัยรุ่นกลายเป็นที่ระบายตัณหาให้กับพ่อเลี้ยงอยู่อย่างนั้นเป็นแรมปี โดยที่แม่ของเธอไม่ได้รับรู้หรือระแคะระคาย       สภาพจิตใจของเดือนแรมในขณะนั้นทั้งหวาดกลัว สับสน เจ็บปวด
...มันเป็นเวรเป็นกรรมแต่หนใดกันหนอที่เด็กสาววัยแค่สิบกว่าปีอย่างเธอต้องมาพบเจอกับเรื่องบัดสีให้ชีวิตต้องมีตราบาปเช่นนี้... 
คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในความคิดของเดือนแรมอยู่ตลอด จนบางครั้งเธออยากจะตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด        ความเจ็บปวดของเด็กสาวหาได้หยุดลงเพียงเท่านี้ หัวใจของเดือนแรมแหลกยับอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่าในวันที่แม่ของเธอได้รับรู้ความจริง
   ...วันหนึ่งแม่ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวแล้วกลับมาที่ห้องเห็นพ่อเลี้ยงกำลังกระทำกับเดือนแรม แทนที่จะเข้าไปห้ามปรามหรือปกป้องลูกกลับกลายเป็นว่า แม่ของเธอกลับแอบดูพร้อมกับความรู้สึกหึงหวง เคียดแค้น ... พอทุกอย่างจบลงแม่ก็เปิดประตูเข้ามาแล้วก็เปิดถุงก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ  เทราดหัวเดือนแรม แล้วก็ด่าเธอสาดเสียเทเสีย นอกจากไม่ปกป้องลูกแล้วยังซ้ำเติมแถมเข้าข้างสามีใหม่อีก...
     หัวใจของเดือนแรมทั้งหวาดกลัวและบอบช้ำจนสุดจะบรรยาย เด็กสาววิ่งหนีผู้ให้กำเนิดอย่างไม่คิดชีวิต ความร้อนจากน้ำก๋วยเตี๋ยวทำให้ตามเนื้อตัวของเธอแสบร้อน  ขณะเดียวกันร่างกายก็สั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัวจนเสียขวัญเดือนแรมวิ่งหนีออกมาไกลและไร้จุดหมาย   ก่อนที่จะมีพลเมืองดีพาตัวเธอมาส่งที่ บ้านพักฉุกเฉินสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ หลังจากเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น บ้านพักฉุกเฉิน  จึงได้พาเธอเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับพ่อเลี้ยง  ในตอนแรกพ่อเลี้ยงได้ให้การปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหาก่อนที่จะยอมรับสารภาพในที่สุด
               
     ตั้งแต่ที่เดือนแรมเริ่มต้นเข้ามาใช้ชีวิตในบ้านพักฉุกเฉิน และมีคดีความกับพ่อเลี้ยง แม่ของเธอไม่เคยแวะเวียนมาเยี่ยมเลยสักครั้ง  จะมีเพียงโทรศัพท์มาหาเจ้าหน้าที่เพื่อขอตัวเด็กสาวกลับไปทำงาน ยิ่งนานวันเข้าความรักของแม่ก็ยิ่งเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามสำหรับเดือนแรม และมีเพียงครั้งเดียวที่แม่มาเยี่ยมเดือนแรมเพื่อที่จะพาตัวเดือนแรมกลับไปเป็นแรงงาน โดยที่...

...แม่พาแฟนใหม่ของตัวเองมาแนะนำกับเดือนแรม บอกว่าเลิกกับพ่อเลี้ยงคนนั้นแล้ว ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างดีขึ้นแล้ว ปลอดภัยแล้ว แต่ไม่ได้คิดว่าเรื่องที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับลูกตัวเองบ้าง... 

    จากพฤติกรรมของแม่ที่ไม่สามารถดูแลปกป้องลูกของตนเองได้     และมีแนวโน้มว่าหากเดือนแรมกลับไปอาจต้องตกเป็นเหยื่อของพ่อเลี้ยงคนใหม่ได้อีก บ้านพักฉุกเฉินจึงไม่สามารถที่จะส่งเดือนแรมคืนให้กับแม่ของเธอได้
    เดือนแรมจึงยังคงอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉินเพื่อเรียนฝึกอาชีพ และตั้งหลักให้กับชีวิตที่จะเริ่มต้นใหม่ แม้ว่าชีวิตที่ผ่านมาจะต้องพบเจอกับปัญหาที่เกินกว่าเด็กหญิงคนหนึ่งจะพึงแบกรับ หากแต่เดือนแรมก็ไม่เคยคิดหรือทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำเลวร้ายลงกว่าเดิม ทั้งที่บาดแผลในชีวิตของเธอล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้ทั้งสิ้น  แม้จะเป็นคนพูดน้อย รวมทั้งมีอาการเหงาเศร้าอยู่บ้าง หากแต่เดือนแรมก็ยังคงมุ่งมั่นไฝ่ดี และทุกคนที่นี่ก็พร้อมจะเป็นกำลังใจให้เดือนแรม
.................................................................................................................
หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1  ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org

Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org

บ้านพักฉุกเฉิน

https://www.facebook.com/pg/apswthailand.org/videos/?ref=page_internal


วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บทเรียนชีวิตของดวงใจ

บทเรียนชีวิตของดวงใจ

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ


ดวงใจ หญิงสาวร่างเล็ก วัย 20 ปี เธอมีใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้ม ผิวสองสี ผมยาวหยักศกถึงกลางหลัง เธอบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ดวงตากลมเล็กของเธอเปล่งประกายถึงความสุขเมื่อเอ่ยถึงลูกสาวคนแรกวัย 2 ขวบที่อยู่กับแม่ของเธอที่ต่างจังหวัด  

“ลูกหนูเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมากค่ะ ไม่งอแง พูดรู้เรื่อง ตอนนี้เขาท่อง กไก่ ถึง ฮอนกฮูก และนับเลข หนึ่ง ถึงสิบ ได้แล้ว เดี๋ยวเขาก็จะเข้าเรียนเตรียมอนุบาลแล้ว...หนูรักเขามากที่หนูอยู่มาจนทุกวันนี้ไม่ฆ่าตัวตายไปซะก่อนก็เพราะเขา...และก็พ่อกับแม่ของหนู...”

หลังจากนั้นดวงใจก็เริ่มมีน้ำตาคลอ ไหล่ของเธอสั่นไหวตามแรงสะอื้น หยาดน้ำตาหยดลงมาแตะต้องมือของเธอที่บีบอยู่บนหน้าตักของเธอเอง

“หนูมีปัญหาอะไรหนูไม่เคยต้องรบกวนพ่อแม่เลย หนูก่อปัญหาเองหนูก็แก้เองจัดการเองหมด แต่นี่หนูต้องเอาทองแม่ไปขายเพื่อจะทำแท้งเพราะหนูท้องไม่มีพ่อ ทองแม่เขาบอกว่าจะเก็บไว้ให้หลาน แค่ทองเส้นเดียวหนูก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ หนูทำปัญหาให้แม่ เพราะหนูมันเชื่อคนง่าย ”

ดวงใจผ่านการมีสามีมาทั้งหมด 2 ครั้ง สามีคนแรกชื่อนายวัฒนาเขาอายุเท่ากับเธอ เป็นผู้ชายที่ดี ขยันทำมาหากินมีความรับผิดชอบ เป็นสามีที่ทุกวันนี้เธอก็ยังรู้สึกเสียดาย ดวงใจถอนหายใจและเอ่ยออกมาเพื่อบอกกับเราหรืออาจจะบอกกับตนเองว่า “แต่มันก็คือเรื่องที่ผ่านไปแล้วเขาก็มีครอบครัวใหม่ไปแล้ว...ถ้าเขารักหนูจริงเขาก็ต้องหนักแน่นมากกว่านี้” 

เมื่อถามถึงสาเหตุที่ต้องแยกจากกันนั้นดวงใจก็ไม่แน่ใจนัก อาจจะเพราะความห่างเหินไม่เข้าใจกันเมื่อนายวัฒนาเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ส่วนดวงใจเลี้ยงลูกคนแรกอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด หลายครั้งที่นายวัฒนากลับมาเยี่ยมครอบครัว นายวัฒนาก็มีความต้องการที่จะมีสัมพันธ์กับภรรยาตามปกติ แต่ดวงใจต้องการให้นายวัฒนาใช้ถุงยางอนามัย เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าในช่วงที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนายวัฒนาไปมีสัมพันธ์กับใครมาบ้าง เธอก็กลัวจะติดโรค และถ้าเขาไม่ใช้ถุงยางดวงใจก็ปฏิเสธการหลับนอนกับเขา นายวัฒนาไม่พอใจจนกล่าวหาว่าดวงใจมีคนอื่น ไม่นานนายวัฒนาก็นอกใจ ดวงใจจึงต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีเรือพ่วงเป็นลูกสาวตัวน้อยที่เธอแสนรัก ดวงใจเลี้ยงลูกด้วยตนเองอยู่ที่ต่างจังหวัดได้ปีกว่า เธอก็เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อมาทำงานรับจ้าง ดวงใจได้ค่าแรง 300 บาท/วัน เธอประหยัดเงินเพื่อเก็บไว้ให้ลูก โดยเธอจะใช้จ่ายเพียงวันละ 20 บาท เท่านั้น ระหว่างนี้มีชายหนุ่มใหญ่ ชื่อนายชัยพร เข้ามาติดพันเธอ คอยดูแลช่วยเหลือเรื่องเงินทองทั้งที่ยังไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกัน คบกันได้เพียงหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ดวงใจก็ใจเร็วตัดสินใจอยู่กินมีความสัมพันธ์กับเขาโดยที่ไม่เคยป้องกัน เมื่อถามถึงเหตุผลที่เธอเลือกนายชัยพรเป็นคู่ชีวิต เธอบอกว่า

“เขาดูมีความเป็นผู้ใหญ่ น่าจะช่วยเหลือเป็นเพื่อนให้คำปรึกษาเราได้ ถามว่ารักเขาไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ แต่คิดว่า มีคนมาช่วยหาเงินส่งให้ลูกก็ดี อยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง”

แล้วดวงใจก็ต้องผิดหวัง เพียงเดือนเดียวเท่านั้น นายชัยพรก็เผยธาตุแท้ออกมา กินเหล้า เล่นพนัน กลับบ้านดึก เมามาเอามีดสปาต้าออกมาข่มขู่ ดวงใจใช้ชีวิตกับนายชัยพรด้วยความหวาดกลัวและเบื่อหน่าย จนท้องได้หนึ่งเดือนเธอจึงบอกให้นายชัยพรรับรู้ “พอบอกเขาว่าท้องเขาบอกว่าเอาไว้นะอย่าไปทำแท้ง ถ้าทำนี่ขาดกันเลย เราก็ดีใจเนอะผู้ชายยืดอกรับผิดชอบเต็มที่” ความดีใจของดวงใจคงคล้ายกับการสูบลูกโป่งเขาไปเต็มที่แล้วลูกโป่งก็แตกในทันที เพราะนายชัยพร มีพฤติกรรมแย่กว่าเดิมอีก เมา นอนไม่ไปทำงาน เงินทองไม่มีใช้ ภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาตกที่ดวงใจทั้งหมด สรุปได้ว่าแทนที่นายชัยพรจะมาแบ่งเบาภาระกลับกลายมาเป็นภาระให้กับเธอเสียมากกว่า

“หนูรู้สึกเอือมเขานะ จึงไม่พูดกับเขา เราก็อยู่กันแบบไม่พูดกัน มึนตึงกัน เขาก็ไปเมา”

จนดวงใจท้อง 4 เดือน ความอดทนของดวงใจหมดลงเมื่อนายชัยพรเมาหาเรื่องด่าว่าบุพการีของดวงใจอย่างหยาบคาย การทะเลาะครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น นายชัยพรโมโหกระชากคอเสื้อดวงใจเข้าไปตบ ต่อย จนใบหน้าบวมปูดและปากแตก ซึ่งคนแถวนั้นไม่มีใครช่วยเหลือเธอเลย ดวงใจต้องไปอาศัยนอนบ้านเพื่อและยุติความสัมพันธ์กับนายชัยพรลง ดวงใจอุ้มท้องไม่มีพ่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ชีวิตที่ต่างจังหวัดของดวงใจก็ไม่ได้ดีนักเพราะเธอต้องปิดบังทุกคนว่าเธอท้อง สังคมต่างจังหวัดนั้นแคบผู้คนรู้จักกันหมดเธอกลัวว่าพ่อแม่จะอับอายจึงเก็บเงียบไว้คนเดียวดวงใจต้องใช้ชีวิตตามปกติทำงานหนัก ทำก่อสร้าง ทำนา จนท้องได้ 6-7 เดือน แม่สังเกตเห็นเธอจึงต้องเล่าความจริงให้แม่ฟัง แต่เธอก็ยังโกหกแม่ว่าท้องเพียงแค่ 4-5 เดือนเท่านั้น แม่จึงให้เธอนำทองมาขายเอาเงินมาทำแท้ง

ดวงใจเดินทางเข้าสู่เมืองกรุงด้วยความตั้งใจที่จะมาทำแท้ง แต่เธออายุครรภ์ตั้ง 7 เดือนแล้ว ตามคลินิกทำแท้งเถื่อนเรียกเงินค่าทำแท้งกับเธอเป็นจำนวนที่สูงมากเกินกว่าที่เธอจะหาได้ แม้เธอจะตัดใจขายทองเก่าที่แม่ให้มาเพื่อเอาเด็กออกก็ยังได้เงินไม่พอ ดวงใจแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เดินทางจากขนส่งหมอชิต มาหาลูกพี่ลูกน้องที่พักอยู่ย่านลาดพร้าว ดวงใจไม่สามารถบอกกับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นได้ว่าตนเองท้องไม่มีพ่อเธอจึงต้องแขม่วท้องอยู่ตลอดเวลา ซึ่งด้วยเธอก็ท้องโตมากแล้วจึงเป็นที่น่าสงสัย ดวงใจกลัวความลับแตกกลัวชุมชนที่บ้านต่างจังหวัดรู้แล้วพ่อแม่ของเธอจะต้องอับอาย เธอจึงตัดสินใจแบกเป้เดินจากมา ทั้งที่ไม่มีที่จะไป ดวงใจหญิงท้องโตเธอต้องเดินจนขาบวม เพราะไม่รู้จะไปไหนเธอจึงโทรติดต่อที่ 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม ซึ่งเธอบอกว่าเขาใจดีและให้คำแนะนำปรึกษากับเธอได้ดีมากๆ และเขาก็ได้ติดต่อและให้คำแนะนำให้ดวงใจมาพักเพื่อรอคลอดที่บ้านพักฉุกเฉิน

ชีวิตทุกวันนี้ทีบ้านพักฉุกเฉินดวงใจยังคงต้องปรับตัวปรับใจอยู่เรื่อยๆ บ้านพักได้ส่งเธอไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาล ลูกในท้องของเธอแข็งแรงดี ทุกวันเธอจะมาเรียนปักผ้าที่ฝ่ายการศึกษาและฝึกอาชีพจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน เธอวางแผนว่าหลังคลอดลูกคนนี้แล้วเธอก็จะทำหมัน เธอบอกกับเราถึงบทเรียนชีวิตที่ผ่านมาว่า

“เวลาที่ท้องไม่มีพ่อ ทำแท้ง หรือทิ้งลูก ส่วนใหญ่สังคมจะพุ่งเป้ามาที่ผู้หญิง แต่หนูก็ไม่โทษใครนะหนูมองมาที่ตัวหนูเอง ต่อไปนี้ถ้าจะมีแฟนหนูจะหาแบบพ่อ จะให้พ่อกับแม่ดูก่อนเลยจเะชื่อพ่อไม่เถียงพ่ออีกแล้ว และก็หนูจะไม่เชื่อคนง่ายอีก มาอยู่บ้านพักนะหนูเลยได้คิดเลยนะว่าต้องใช้ถุงยางอนามัย ผู้ชายวันนี้เป็นสามีเราวันอื่นก็เป็นสามีคนอื่น ก่อนมามีเราเขามีใครมาบ้างก็ไม่รู้เพราะเราไม่ได้ติดตูดเขาไปทุกที่นี่ ถ้าเราติดโรคแล้วลูกเราล่ะ...”
 


หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืนหรือติดเชื้อเอชไอวี   สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉิน 501/1ซ.เดชะตุงคะ1ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com  และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org เฟสบุ๊ค: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org 

เรื่อง โดย ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน
ผู้เขียน/ตรวจอักษร/ภาพ:จิตรา นวลละออง

อุ่นจิตผู้หลงทาง

อุ่นจิตผู้หลงทาง
Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ



“อุ่นจิต” เด็กสาววัยใสผิวคล้ำ  รูปร่างสมวัย อุ่นจิตเป็นเด็กร่าเริงช่างพูดช่างคุย และต้องการเล่าเรื่อง หรือวีรกรรมหลายอย่างของตนเองให้กับคนอื่นๆฟัง  แต่ด้วยวัยเพียง 15 ปี ทำให้อุ่นจิตยังเป็นเด็กที่ไร้จุดมุ่งหมายในชีวิต เธอมีลักษณะของเด็กที่ยังแสวงหาการยอมรับและต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่และคนรอบข้าง  เด็กวัยนี้เป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็นอยากลอง ค้นหาความภาคภูมิใจจากความเก่งกล้าท้าทายในหมู่ผองเพื่อนวัยเดียวกัน ซึ่งหากหลงทางไปในทางที่ผิดก็มีความอันตรายต่อเด็กวัยนี้เป็นอย่างยิ่ง

อุ่นจิตโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกกันอยู่ เธอบอกว่า “ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่แยกทางกันหรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยบอกว่าเขาเลิกหรือเขาไม่ได้เลิกกัน” อุ่นจิตมีพี่น้องทั้งหมดถึง 10 คน และอุ่นจิตเป็นลูกคนที่ 7 พ่อเป็นผู้ที่เลี้ยงดูอุ่นจิตมาตั้งแต่วัยเด็ก ส่วนแม่นั้นเจอกันนับครั้งได้ เพราะแม่แยกไปมีชีวิตของตนเองที่ต่างจังหวัด สำหรับคนในครอบครัวอุ่นจิตไม่ผูกพันกับใครเป็นพิเศษนอกจากพ่อ ซึ่งพ่อจะเลี้ยงดูอุ่นจิตมาแบบตามใจ และอุ่นจิตก็ไม่สนิทกับพี่น้องคนไหนเลย พ่อของอุ่นจิตอยู่บ้านทำงานบ้านและดูแลลูก  ส่วนคนที่ทำมาหาเลี้ยงครอบครัวและมีอำนาจมากที่สุดในบ้านคือพี่ชายคนที่ 3 แต่น่าจะด้วยความเข้มงวดของพี่ชายและพฤติกรรมเกเรของอุ่นจิตทั้ง วัยที่ห่างกันมาก ทำให้หลายครั้งต่างก็ไม่เข้าใจกัน   เมื่อถามถึงสาเหตุที่นำพาให้อุ่นจิตได้มาอยู่ในความดูแลช่วยเหลือของบ้านพักฉุกเฉิน อุ่นจิตก็สามารถให้คำตอบได้อย่างมั่นใจและแฝงไปด้วยความภูมิใจด้วยว่า

“เพราะหนูไม่ตั้งใจเรียนเองแหล่ะ หนูโดดเรียนบ่อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเลย  ล่าสุดหนูก็โดดเรียนและหายออกจากบ้านไป 3 วันไปอยู่บ้านเพื่อน แล้วพอมาโรงเรียนก็มาทะเลาะกับครู ครูเขาก็บ่นเรื่องโดดเรียน หนูก็เบื่อก็เลยบอกครูว่า หนูจะไปเรียนแล้วนะ ครูก็เลยโมโห ถูกครูตีไปหนึ่งที  คือเขาชอบโทรฟ้องเรื่องของพวกหนูกับผู้ปกครอง กลุ่มหนูมักจะมีปัญหากับครูคนนี้ เพราะว่ากลุ่มหนูผู้ชายก็จะดื้อมาก ส่วนผู้หญิงก็จะแสบมาก”
เราลองให้อุ่นจิตเล่าถึงพฤติกรรมของตนเองและเพื่อนๆในกลุ่ม จนทำให้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณครู และพี่ชาย เธอก็เล่าว่า “พวกผู้ชายก็ชอบสูบบุหรี่ และพวกเราก็ชอบโดดเรียน หนูไม่ได้หนีออกจากบ้าน หนูก็แค่โดดเรียนไม่กลับบ้าน 3 วัน แต่ไม่ได้บอกใครที่บ้านเท่านั้นเอง แต่หนูก็ไม่เคยสูบบุหรี่ แค่เคยทดลองกินเป๊ปซี่ผสมยาแก้ไอ แค่อยากลอง”

เมื่อถามถึงการคบหากับเพื่อนต่างเพศ เธอเล่าว่า “ก็มีแฟนที่คุยกันทางเฟสบุ๊ค แต่ก็ไม่ได้อะไรถ้าเขานัดเจอก็คงไม่ไปถ้าไปก็คงเอาเพื่อนไปด้วยทั้งกลุ่ม หนูไม่เคยมีอะไรกับใคร ที่หายไป 3 วันหนูก็ไปอยู่บ้านเพื่อนที่เป็นผู้หญิง”

แต่พฤติกรรมที่อุ่นจิตเล่ามาว่า เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แค่เรื่องอยากลอง แค่เรื่องที่ทำตามๆกันในกลุ่มเพื่อน สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ปกครอง ที่ทั้งรักทั้งห่วงอยากให้เธอได้ดีและตั้งใจเรียน และคอยเข้มงวดเคี่ยวเข็ญเธอมาตลอด ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆอย่างที่อุ่นจิตคิด เพราะเมื่อพี่ชายทราบเรื่องทั้งหมดหลังจากที่น้องสาวตัวดีหายไปจากบ้านและโดดเรียนเป็นเวลา 3 วัน โดยไม่บอกกล่าว โทรศัพท์ไปเป็นร้อยๆ สาย อุ่นจิตก็ไม่รับ พี่ชายจึงติดต่อแม่ของอุ่นจิตและบอกกับแม่ว่า “ไม่ไหวแล้วจะเอาไปไหนกันก็ไป โดดเรียนหลายรอบแล้วนะ พูดก็ไม่ฟัง  ไม่ไหวแล้วไม่เลี้ยงแล้วนะ จะเอาไปไหนก็เอาไปเลย”  นั่นคือคำขาดจากปากพี่ชายที่รับภาระดูแลครอบครัวและอุ่นจิตมาโดยตลอด เมื่อไม่รู้จะไปไหนอุ่นจิตจึงโทรติดต่อเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ของมูลนิธิแห่งหนึ่ง เพื่อให้ช่วยเหลือหาที่พักอาศัยและที่เรียนให้กับเธอ ซึ่ง เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิแห่งนั้นกับแม่ของอุ่นจิตจึงได้ส่งอุ่นจิตมาที่บ้านพักฉุกเฉิน

เมื่อถามอุ่นจิตว่า มาอยู่บ้านพักฉุกเฉินแล้วอุ่นจิตรู้สึกอย่างไรบ้าง คำตอบของเธอก็ไม่ได้ทำให้เกิดความประหลาดใจเท่าใดนักสำหรับเด็กวัยนี้ เมื่อเธอตอบว่า

“ตอนแรกอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉินก็ดีมีเพื่อน แต่พออยู่มาได้สักพัก หนูเริ่มเบื่อแล้วหนูอยากกลับบ้าน  คือที่มาบ้านพักฉุกเฉินหนูอยากย้ายจากโรงเรียนเดิม ไม่อยากเรียนที่นั่นแล้ว พอมาที่นี่หนูก็เบื่อไม่อยากเรียนที่นี่แล้วหนูว่าไม่เห็นว่าจะน่าเรียนเลย อยากไปเรียนที่อื่น เรียนกศน.ก็ได้ แต่ว่าไม่อยู่ที่นี่ ที่เดิมก็ไม่เอา”


ฟังคำตอบที่ตรงไปตรงมา ของอุ่นจิต  ก็เข้าใจว่าวัยรุ่นมักค่อนข้างจะตื่นเต้นกับสถานที่หรือสิ่งใหม่ๆอยู่เพียงประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น เมื่อทิ้งเวลาสักระยะความแปลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจก็จะกลายเป็นความจำเจ และน่าเบื่อหน่าย และด้วยพื้นฐานที่อุ่นจิตค่อนข้างจะทำอะไรตามใจตนเองเป็นหลัก  เจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ และผู้ปกครองของอุ่นจิต คงต้องคอยประคับประคองให้อุ่นจิต ผ่านพ้นภาวะวิกฤตนี้ไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง เพราะอุ่นจิตยังเยาว์นัก ความคิดและการตัดสินใจของเด็กวัยเพียง 15 ปี นั้นยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะดูแลหรือดำเนินชีวิตด้วยตนเอง ซึ่งเราก็หวังว่า อุ่นจิตจะมีจุดมุ่งหมายในชีวิต และสามารถเข้าใจในความหวังดีของผู้ใหญ่ จนเป็นแรงผลักดันให้เธอกลับมาเดินในหนทางที่นำพาชีวิตของตนไปในทางที่ดีได้ในสักวันหนึ่ง
.......................................................................................................................................
หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน 
โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org
Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org
เรื่อง โดย ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน
ผู้เขียน:จิตรา นวลละออง

ของตาย

ของตาย
Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ


 “สายธาร”หญิงสาวผิวเข้ม วัย 21 ย่าง 22 ปี เธอ มาที่บ้านพักฉุกเฉิน เมื่ออายุครรภ์ได้ 6 เดือนกว่า เธอบอกกับเราว่า ท้องนี้เป็นลูกคนแรกกับสามีคนแรก  ซึ่งเขามีชื่อว่า “คมเดช”

คมเดช มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ สายธารทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร ส่วนคมเดชทำงานก่อสร้าง พื้นเพครอบครัวของสายธารนั้นเธอเป็นคนภาคกลาง พ่อแม่ยังทำมาหากินอยู่ด้วยกัน พ่อของเธอทำงานรับจ้างขับรถ ส่วนแม่ทำงานรับจ้างซักรีด พี่คนโตของสายธารก็แยกไปมีครอบครัวแล้ว สายธารมีน้องชายอีกหนึ่งคนกำลังเรียนอยู่ชั่นป.4 ส่วนสายธารนั้นเรียนจบเพียงชั้นม.3 เธอก็อยากทำงานมากกว่าเรียนต่อ จึงออกมาทำงานก่อนคิดว่าถ้าอยากเรียนต่อค่อยมาเรียนในภายหลัง ส่วนครอบครัวของคมเดชนั้นดั้งเดิมเป็นชาวตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ลงมาทำงานรับจ้างแถวจังหวัดในภาคกลาง ครอบครัวของคมเดชค่อนข้างแตกแยก พ่อแม่แยกทางกันและต่างก็ไปมีครอบครัวใหม่อยู่เรื่อยๆ
สาธารและคมเดช มาพบกันได้เนื่องจากเพื่อนๆแนะนำให้รู้จักกัน จึงคบหากันเรื่อยมา การคบหากันในช่วงปีแรก  คมเดชเป็นชายหนุ่มที่ดี เป็นสุภาพบุรุษไม่เคยรบเร้าที่จะขอมีเพศสัมพันธ์กับสายธารเลยแม้สักครั้ง จนกระทั่งคมเดชจะต้องจากสายธารไปทำงานที่แคมป์คนงานต่างจังหวัด จึงได้มาชักชวนให้สายธารไปทำงานด้วยกัน เมื่อสายธารตกลงใจติดตามคมเดชไปทำงานที่ต่างจังหวัดการพักหลับนอนในแคมป์คนงาน ที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด สายธารและคมเดชจึงต้องนอนห้องเดียวกันและด้วยความใกล้ชิดจึงทำให้สายธารและคมเดชมีสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

“หนูก็ไม่ได้ตั้งใจ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เรา 2 คนไม่มีใครตั้งใจว่าเราจะมีอะไรกัน แต่เพราะความรักความใกล้ชิด อารมณ์มันพาไปตามธรรมชาติก็เลย เลยตามเลย แล้วหลังจากนั้นก็อยู่กินด้วยกันเป็นสามีภรรยาไปเลย คนที่บ้านหนูกับที่บ้านเขาก็รับรู้ว่าเราตกลงอยู่กินด้วยกันแล้ว”

ชีวิตครอบครัวของสายธารก็เหมือนจะราบรื่นดีเพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันกับคมเดชเขาก็รับผิดชอบดี เขาเป็นคนไม่เที่ยว ไม่เหลวไหล ไม่เจ้าชู้  จนผ่านมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี คมเดชเริ่มเปลี่ยนแปลงไปโดยที่ สายธารก็ไม่รู้สาเหตุ

“ช่วงนั้นหนูเดินทางกลับบ้านแล้วพอกลับมา แฟนหนูเขาก็หายตัวไป ไม่นานเขาก็โทรมาขอเลิก และให้ผู้หญิงมาพูดโทรศัพท์คุยกับหนูว่าเป็นเมียใหม่ ช่วงนั้นหนูทำใจไม่ได้เลย ก็เลยกลับไปอยู่บ้านกับแม่ แต่พอผ่านไปได้สักเดือนหนึ่งเขาก็ติดต่อกลับมา ขอกลับมาอยู่ด้วยกัน แล้วบอกว่าที่เขาทำไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดเขาลองใจหนู หนูก็ใจอ่อนนะ กลับไปอยู่กับเขาอีก แต่พอกลับมาอยู่ด้วยกันได้ 2 เดือนเขาก็มาบอกว่าจะไปหาเพื่อน เราก็ไม่คิดอะไรมาก แต่เขาหายไป 2 เดือน หนูก็เลยไปตามเขาที่บ้านเพื่อนของเขา พบว่าเขาก็อยู่กับเพื่อนเขาและเขาก็กลับมากับหนูแล้วบอกว่าจะปรับปรุงตัว”

จากครั้งนั้นกลับมาอยู่ด้วยกันนายคมเดชก็ทำตัวดี และบอกกับ สายธารว่าอยากมีลูก ให้เลิกกินยาคุม สายธารจึงปล่อยให้ท้อง ตอนที่คมเดชรู้ว่าสายธารท้อง คมเดชดีใจมาก แต่พอสายธารท้องได้ 3-4 เดือน คมเดชไปสมัครทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก็มีการเข้าเวรทำงานกลางคืน ต่อมาคมเดชมักเข้าเวรทำงานกลางคืนตลอด วันหยุดก็ไม่หยุด บอกว่าไปทำแทนคนอื่น และคมเดชก็ทำตัวห่างเหินจากสายธาร จนสายธารเกิดความสงสัยจึงลองตามไปดูที่ทำงาน เพื่อนที่ทำงานของคมเดชจึงบอกว่า “มันไม่มาทำงานหรอกวันหยุดมัน มันจะมาทำไม” สายธารจึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลยว่าเธอถูกคมเดชหลอก “ช่วงนั้นเขามักจะหายไปทั้งคืนกลับมาตอนเช้า หนูก็ไม่ได้จู้จี้นะ เพราะคิดว่าเขาเป็นสามีที่ดี แต่พอท้องได้ 3 เดือน กว่าก็มารู้เลยว่าเขาโกหกหนูมาตลอด”

แล้ววันหนึ่งก็มีเพื่อนของคมเดชที่เขาคงจะสงสารสายธาร จึงได้มาบอกกับสายธารว่า
“ผัวเธอน่ะ ไปอยู่ที่บ้านเพื่อนกินเหล้าเมายา ไม่ไปทำงานทำการอะไรเลย”
เมื่อรู้ความจริงจากเพื่อนของคมเดช สายธารก็ไปตามเอาตัวเขากลับมา แต่หลังจากที่กลับมาอยู่ด้วยกันชีวิตครอบครัวของสายธารก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย

“เขาจะหงุดหงิดโมโหง่าย จากที่เคยใจเย็น ก็ไม่มีแล้ว ถามอะไรก็โกรธ หงุดหงิด และก็ยังมีแต่คนมาเล่าว่าเขาไปมีผู้หญิงอื่น เพื่อนๆเขาบอกว่าไม่เคยรู้ว่าหนูเป็นเมียเขา เพราะเขาบอกแต่ว่าเป็นพี่สาวที่มาตามกลับบ้าน...หนูก็หมดคำพูดเลย”

แล้ววันสุดท้ายของการเป็นสามีภรรยาของสายธารกับคมเดชก็มาถึง เมื่อคมเดชบอกว่าจะออกไปทำงาน และสายธารได้ลองตามไปดูเขาที่ทำงาน เธอจึงไปพบความจริงว่าสามีของตนได้เขียนใบลาออกแล้ว และก็ได้หายตัวไป เมื่อสายธารโทรศัพท์ติดต่อไปตามคมเดช คมเดชก็แค่เพียงถามถึงลูกในท้อง และขาดการติดต่อไป ทิ้งให้สายธารเผชิญชีวิตผู้หญิงที่ท้องไม่มีพ่อเพียงลำพัง สายธารจึงค้นหาสถานที่ช่วยเหลือคนท้องในอินเตอร์เน็ต เธอจึงพบว่ามีบ้านพักฉุกเฉิน และเมื่อพ่อแม่ของสายธารได้รับรู้ปัญหาของเธอจึงสั่งให้เธอเลิกติดต่อและแยกทางกับผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด ห้ามคิดที่จะหวนกลับไปอยู้ด้วยกันอีก ซึ่งก่อนหน้าที่สายธารจะเข้ามาอยู่ในบ้านพักฉุกเฉินเพียงไม่กี่วัน คมเดชก็ได้โทรติดต่อมาหาสายธารอีกครั้ง แต่ว่ามันคงจะสายเกินไปเพราะสายธารบอกกับเราด้วยน้ำเสียง สีหน้าและแววตา ที่หมดแล้วซึ่งความอาลัยอาวรณ์ต่อคมเดชว่า

“เขาบอกว่าเขาขอโทษ อยากกลับมาเริ่มใหม่ แต่เขาก็ไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่เขาทิ้งไป เขาคิดว่าหนูเป็นของตาย นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป ยังไงหนูก็ต้องรอเขา แต่ว่ามันไม่ใช่ไง ถ้าเขารักหนูจริงเขาคงไม่ทำแบบนี้ หนูคิดว่าหนูกับลูกแค่ 2 คนก็สามารถเป็นครอบครัวได้ หนูก็ไม่ใช่ว่าจะท้องไม่พร้อมนะ ลูกของหนูเกิดจากความรัก เพียงแต่ผู้ชายมันแย่ ”

ปัจจุบันสายธารท้องได้ 7 เดือน บ้านพักฉุกเฉินได้ส่งเธอไปตรวจครรภ์และฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว สุขภาพแม่และลูกแข็งแรงดี สายธารวางแผนไว้ว่าหลังคลอดลูกเธออาจฝากลูกไว้ที่ศูนย์เลี้ยงเด็กอ่อนของบ้านพักฉุกเฉินเป็นการชั่วคราว และออกไปทำงานภายนอก เมื่อเธอพร้อมก็จะเรียนต่อด้วยทำงานไปด้วยเพื่อเลี้ยงดูลูก เธอบอกว่าเธอไม่รู้หรอก ว่าเธอจะมีใครใหม่หรือเปล่าเพราะชีวิตมันไม่แน่นอนแต่ที่แน่ๆ ใครคนนั้นก็คงไม่ใช่คมเดชอย่างแน่นอน

ในท้ายของเรื่องราว สายธารฝากข้อคิดที่เธอได้จากประสบการณ์ชีวิตของตนเองให้ผู้หญิงคนอื่นๆพึงระลึกไว้เสมอว่า 

“ไม่มีอะไรแน่นอนวันนี้เขาเป็นสามีเรา แต่วันต่อไปเขาอาจจะไปเป็นสามีของคนอื่น”

……………………………………………………………………………………………………………………………………………

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน 
โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org
Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org
เรื่อง โดย ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน
ผู้เขียน:จิตรา นวลละออง

ต่อยให้รับว่า...เธอมีชู้

ต่อยให้รับว่า...เธอมีชู้

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ


ภาพผู้หญิงอุ้มท้อง สะพายกระเป๋าพะรุงพะรัง มือของเธอก็จะเกาะเกี่ยวกับลูกน้อยที่เดินตามแม่มาต้อยๆพร้อมทั้งพูดคุยตั้งคำถามกับผู้เป็นแม่อย่างเจื้อยแจ้ว...ทั้งสองมุ่งหน้ามาสู่ที่พักพิงหลังใหม่คือบ้านพักฉุกเฉิน...ภาพที่เห็นไม่ใช่ภาพแปลกใหม่สำหรับคนทำงานที่นี่ แต่ก็ไม่อาจชาชินกับภาพที่สะท้อนปัญหาชีวิตของผู้หญิงและเด็กในสังคมไทย...
ผู้หญิงท้องคนดังกล่าวที่จับจูงลูกสาววัย 3 ขวบ เดินเข้ามาที่บ้านพักฉุกเฉินในวันนั้น เธอมีชื่อว่า “มาลัย” เธอมีอายุอยู่ในช่วง วัย 30 ต้นๆ...ภาพแรกที่เราพบเห็น มาลัย ในระยะใกล้ ด้วยหลักฐานที่อยู่เต็มใบหน้าและร่างกายของมาลัยก็ฟ้องในตัวปัญหาของมาลัยได้ดีอย่างทันทีเลยว่า มาลัยต้องถูกทำร้ายร่างกายมาอย่างแน่นอน...รอบดวงตาของมาลัยเต็มไปด้วยร่องรอยเขียวช้ำจนคล้ำ ดวงตาแดงก่ำ เพราะเส้นเลือดฝอยในตาแตก ตามหลังไหล่แขนก็มีร่องรอยเขียวช้ำเช่นเดียวกัน....เราตั้งสมมติฐานแรกด้วยประสบการณ์ของคนทำงานบ้านพักฉุกเฉิน ร้อยละ 80 ถ้าผู้หญิงท้องถูกคนทำร้ายร่างกาย ผู้กระทำก็มักจะเป็นสามี ดังนั้นยังไม่ได้เอ่ยปากถามกับมาลัยแต่ในใจก็คิดแล้วว่า “มาลัยต้องโดนสามีซ้อมมาแน่ๆ” ซึ่งก็ไม่ผิดจากการคาดการณ์เลย เพราะเมื่อพูดคุยกัน มาลัยก็เล่าให้ฟังว่า
 “หนูท้องได้ 6 เดือน เขาก็เริ่มทำร้ายหนูอยู่ตลอด เพราะเขาหาว่าหนูมีชู้...ที่เขาต่อยจนเป็นแบบนี้คือเขาต่อย...ต่อย และต่อย...เพื่อให้หนูยอมรับว่าหนูมีชู้...แต่หนูไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า ก็เลยไม่ยอมรับ เขาก็ต่อยไม่หยุด หนูก็ได้แต่ปัดป้อง เพราะกลัว และก็สู้เขาไม่ได้ ลูกก็เข้ามาห้ามและคงโดนลูกหลงเข้าไปด้วยพอลูกร้องว่า พ่อโดนหนู...หนูเจ็บ เขาก็เลยหยุด”
มาลัย เล่าว่า เธอแต่งงาน โดยจดทะเบียนสมรส กับนาย “สามารถ” ซึ่งมีอายุมากกว่าเธอเป็นสิบปี เขามีอาชีพ รับจ้างทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง มาลัยใช้ชีวิตคู่กับนายสามารถมาได้กว่าสิบปีแล้ว ภูมิหลังของนาย สามารถนั้น เขาเป็นคนอีสาน เคยมีครอบครัวและมีลูกติด 1 คน ก่อนที่จะมาสร้างครอบครัวกับมาลัย ส่วนมาลัยนั้นก่อนที่จะมาพบกับนายสามารถ เธอก็เป็นสาวชาวใต้ ที่ยังไม่เคยแต่งงานหรืออยู่กินกับใครมาก่อน ครอบครัวของมาลัยนั้น มีเพียงลุงกับลูกๆของลุงเป็นญาติสนิท เพราะพ่อแม่ของมาลัยได้เสียชีวิตไปนานแล้ว ช่วงวัยเด็กที่ไม่มีคนดูแลมาลัยยังเคยเข้าอยู่สถานสงเคราะห์ที่ดูแลเด็กกำพร้าจนกระทั่งเรียนจบปวช. แล้วจึงออกมาทำงานและพักอาสัยอยู่กับลุง มาลัยได้พบกับนายสามารถ เพราะว่านายสามารถเป็นเพื่อนกับลูกของลุง ซึ่งเขาก็บอกกันว่า นายสามารถเป็นคนดีขยันทำมาหากิน มาลัยจึงตกลงคบหาเป็นแฟน ต่อมาจึงตกลงแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับเขา             ชีวิตครอบครัวของมาลัยก็มีความสุขดี นายสามารถก็ขยันทำมาหากินและรับผิดชอบครอบครัวดี ช่วงที่ยังไม่ท้องลูกคนแรก มาลัยก็ทำงานรับจ้างที่บริษัทเดียวกันกับสามี พอท้องใกล้คลอดก็ลาออกจากงาน แต่แล้ววันหนึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งแรกก็เกิดขึ้นกับจิตใจของมาลัย เพราะมีผู้หญิงโทรศัพท์เข้ามาที่มือถือของนายสามารถ...มาลัยบอกว่า
“เมียเก่าของเขาโทรมา แล้วบอกว่า ...นี่เมียของสามารถนะอยากจะคุยกับสามารถเรียกเขามารับโทรศัพท์หน่อยซิ...หนูก็ตกใจอึ้งพูดอะไรไม่ออกก็เลยไปเรียกพี่เขามารับโทรศัพท์ พี่เขาก็ตกใจแต่ก็เดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่อื่น”
หลังจากนายสามารถคุยโทรศัพท์กับเมียของเขาแล้ว มาลัยก็ขอเคลียร์ แต่สนายสามารถ ก็บอกกับมาลัยอย่างหน้าตาเฉยว่า “ก็ไม่ต้องทำอะไรก็อยู่กันไปแบบนี้แหล่ะ” มาลัยฟังแล้วก็รู้ว่า นายสามารถนี่เห็นแก่ตัวชัดๆ ถ้ารู้ความจริงก่อนที่จะจดทะเบียนสมรส ก่อนที่จะท้อง เธอจะเลิกกับเขาแน่นอน แต่มารู้เอาป่านนี้แล้ว มีลูกกับเขาแล้ว ถ้าเลิกกันลูกก็ต้องไม่มีพ่อ มาลัยจึงอดทนและทำใจกับเรื่องนี้...เธอพยายามทำอย่างที่นายสามารถบอกว่า...”อยู่กันไปอย่างนี้แหล่ะ”...แม้เหมือนมาลัยจะทำใจได้แต่ก็เหมือนมีคลื่นใต้น้ำซุกซ่อนอยู่ตลอดเวลา ชีวิตคู่ของเธอกับนายสามารถก็เริ่มระหองระแหงมีปากเสียงกันมากกว่าแต่ก่อน           จนกระทั่งมาลัยคลอดลูกและเลี้ยงลูกด้วยตนเองจนลูกสาวอายุ 2 ขวบ มาลัยจึงจ้างคนเลี้ยงลูก และเธอกลับไปทำงานรับจ้างบริษัทดียวกันกับที่นายสามารถทำอยู่เช่นกัน
ความรุนแรงในครอบครัวก็เริ่มขึ้นนับจากนี้ เพราะหน้าที่การงานของมาลัยนั้นอยู่ในตำแหน่งที่มีลูกน้องเป็นผู้ชายและการทำงานก็ต้องมีติดต่อประสานงานกับผู้ชายบ้าง แต่นายสามารถไม่เข้าใจกลับหึงหวงมาลัยมากขึ้นๆทุกวัน...การกล่าวหา ด่าทอต่อว่า...ว่ามาลัยจะนอกใจก็มีมากขึ้นทั้งที่นายสามารถก็ไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ หรือเสพสารเสพติด แต่ก็ขี้หึงมาก โดยเขามักจะพูดอยู่บ่อยๆว่า “กูมันแก่แล้วก็คงอยู่ไม่นาน...ก็คงอยากได้กับไอ้หนุ่มๆพวกนั้น”
ระดับความรุนแรงของปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันในครอบครัวของมาลัยเริ่มเพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนายสามารถมีงานที่ต้องออกต่างจังหวัดบ่อยๆระดับความหึงหวงก็พุ่งสูงมากขึ้น จากมีปากเสียง เป็นใช้กำลัง ตบดี อยู่ 2-3 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งมาลัยไม่กล้าสู้เขาเลย จนแม้กระทั่งมาลัยตั้งท้องลูกคนที่อยู่ในท้อง ได้ 6 เดือน นายสามารถก็ยังตบตีมาบลัย ด้วยเรื่องเดิมๆ หึงหวงหาว่าจะไปมีชู้ จนครั้งสุดท้ายที่รุนแรงที่สุด นายสามารถกล่าวหาว่ามาลัยขับรถออกไปหาชู้ เขาก็ลงมือต่อยให้มาลัยรับว่ามีชู้ ซ้ำยังกล่าวหาว่า ลูกในท้องไม่ใช่ของตน เพื่อนบ้านที่ได้ยินว่าครอบครัวมาลัยทะเลาะตบตีกันก็ไม่มีใครมาช่วยเหลือเลย ถ้าลูกสาวไม่เข้ามาห้ามไว้ก็ไม่ทราบว่ามาลัยจะโดนนายสามารถทำอะไรรุนแรงไปมากกว่านี้หรือไม่...หลังจากเกิดเหตุ มาลัยจึงไปปรึกษากับหัวหน้างานของตน เขาจึงได้ค้นหาสถานที่ช่วยเหลือในอินเตอร์เน็ต และพบสถานที่ช่วยเหลือผู้หญิง นั่นก็คือบ้านพักฉุกเฉิน มาลัยจึงรีบพาลูกสาวเข้ามาอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉิน มาลัยบอกกับเราด้วยเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอว่า...“หนูไม่ได้กินยาคุม ไม่ได้ใช้ถุงยาง เพื่อป้องกันการท้องเลย เพราะทีแรกลูกคนนี้ก็เกิดจากความพร้อม...หนูก็ไม่รู้ตัวว่าหนูจะกลายมาเป็นท้องไม่พร้อม”
ตอนนี้มาลัยท้องได้ 7 เดือนกว่าแล้ว ส่วนลูกสาวอายุ 3 ขวบ ก็เป็นเด็กฉลาดช่างคุยเข้าใจเหตุผลของแม่ดี มีถามถึงพ่อบ้าง  มาลัยจึงให้ลูกคุยโทรศัพท์กับพ่อของเขา...นายสามารถยังคงสถานะความเป็นพ่อของลูก...แต่สำหรับเมาลัย...การเป็นสามีภรรยากับนายสามารถได้จบลงแล้ว ระหว่างที่ชีวิตประสบกับปัญหาคลื่นลูกใหญ่ถาโถม...มาลัยพักรอคลอดอยู่บ้านพักฉุกเฉินเธอใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการเรียนปักผ้าด้วยมือเธอบอกว่า...รู้สึกดีและหายเครียด...เมื่อคลอดลูกแล้วเธอวางแผนว่าจะเลี้ยงและให้นมลูกด้วยตนเองสักระยะแล้วเธอจะฝากเลี้ยงลูกเพื่อออกไปทำงานภายนอก 
.......................................................................................................................................
หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org  Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org

เรื่อง โดย ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน
ผู้เขียน:จิตรา นวลละออง

ชีวิตใหม่

  ชีวิตใหม่ Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง...