วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560

พ่อเลี้ยง

พ่อเลี้ยง

 วันนี้ก็เหมือนกับทุก ๆ วัน แก้วตา เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาสะสวยเดินกลับจากร้านขายอาหารที่เธอไปรับจ้างเป็นพนักงานเสิร์ฟได้เมื่อไม่นานมานี้ ร้านที่แก้วตาไปทำงานอยู่ไม่ไกลจากที่พักของแม่และพ่อเลี้ยงมากนัก ใช้เวลาไม่นานแก้วตาก็กลับมาถึงห้องเช่าในเวลาหกโมงเย็นกว่า ๆ ในบ้านมีเพียงพ่อเลี้ยงชายหน้าโหด ร่างใหญ่ วัย 40 ปี นั่งกินเหล้าอยู่เพียงลำพัง ส่วนแม่กว่าจะเลิกงานกลับถึงบ้านก็ราว ๆ สองสามทุ่มโน่นแหล่ะ เมื่อเข้าบ้านมาแก้วตาก็ไม่ได้ทักทายอะไรกับพ่อเลี้ยงเพราะแก้วตาเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานและไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยอะไรกับเขา จึงไปจัดการธุระส่วนตัวของตนเอง อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าและมานั่งดูโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ ไม่นานความง่วงงุนก็เข้าครอบงำเด็กสาว ช่วงที่แก้วตากำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นก็รู้สึกว่ามีอะไรเย็นๆ มาแตะที่ลำคอทำให้แก้วตารู้สึกตัวขึ้นมาเมี่อก้มลงไปดูจึงเห็นว่าเป็นมีดปลายแหลม และคนที่นำมันมาจี้อยู่ที่ลำคอของแก้วตาก็คือ พ่อเลี้ยงหน้าโหดที่นั่งดื่มเหล้าอยู่นั่นเอง

         “ห้ามส่งเสียงไม่งั้นแกตาย” แก้วตาตัวสั่นและน้ำตาไหลด้วยความกลัวเธอจึงไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนร่างกาย พ่อเลี้ยงจึงได้ลากตัวเธอเข้าไปยังห้องนอน และใช้กำลังบังคับข่มขืนแก้วตาอย่างโหดร้าย... แล้วหลังจากนั้นมันยังข่มขู่แก้วตาอีกครั้งว่า

          “ถ้าแกบอกแม่แก... แกสองคนจะเจ็บตัวยิ่งกว่านี้”

          แก้วตาต้องเก็บความเสียใจและเจ็บปวดกับเหตุการณ์นี้ไว้กับตัวเองคนเดียวด้วยความกลัว แก้วตานอนร้องไห้ทั้งคืน เธอไม่สามารถบอกเล่าเรื่องนี้ให้กับแม่ฟังได้เพราะถ้อยคำข่มขู่ของพ่อเลี้ยงยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอตลอดเวลา อีกทั้งในช่วงระยะที่แก้วตามาอยู่กับแม่ เธอก็มักเห็นพ่อเลี้ยงตบตีทำร้ายร่างกายแม่อยู่เสมอ

          เช้าวันต่อมา แก้วตายังคงต้องพยายามทำตัวตามปกติ และก็ไปทำงาน ทั้งที่ภายในจิตใจของแก้วตานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว...

          แล้วในวันนี้ เมื่อแก้วตาเลิกงานก็เหมือนกับเมื่อวานทุกอย่างแม้จะพยายามกลับบ้านให้ช้ากว่าเดิม แต่แก้วตาก็ยังคงต้องกลับบ้านเพราะเธอไม่มีที่ไป และพ่อเลี้ยงก็นั่งกินเหล้าอยู่ที่เดิม แก้วตาหวาดกลัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วเหตุการณ์ร้ายก็เกิดซ้ำเหมือนว่ามันคือเมื่อวานคล้ายละครหรือภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่แตกต่างกันตรงที่... นี่คือชีวิตจริงของเด็กสาวที่ชื่อ แก้วตา และในวันนี้แม่ของแก้วตากลับมาเห็นเหตุการณ์... จึงเกิดการทะเลาะวิวาทมีปากเสียงกันขึ้นระหว่างสองสามีภรรยา

          “ลูกสาวมึงน่ะมันใจแตก มาให้ท่ากูก่อน... มันมายั่วกูเอง” ระหว่างทะเลาะกันพ่อเลี้ยงก็ยังโยนความผิดทั้งหมดมาให้แก้วตา ช่วงชุลมุนพ่อเลี้ยงก็เข้ามาทำร้ายร่างกายแม่ด้วยการเตะและถีบ แม่จึงพาตัวเองและแก้วตาออกมาจากบ้านเช่านั้น

          โดยพ่อเลี้ยงก็ยังตะโกนข่มขู่ไล่หลังมาอีกว่า

          “ไปแล้วไม่ต้องเสือกกลับมานะมึง... ถ้าพวกมึงเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น... กูจะเอามีดปาดคอให้ตายทั้งแม่ทั้งลูก”

          สองแม่ลูกออกมาจากที่นั่นด้วยความหวาดกลัว แม่ได้พาแก้วตาไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับพ่อเลี้ยง และได้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว นักสังคมสงเคราะห์ที่โรงพยาบาลเขาจึงได้ส่งตัวแก้วตามาขอรับความช่วยเหลือที่บ้านพักฉุกเฉิน… ซึ่งแก้วตาบอกกับเราว่า “หนูชอบที่นี่... หนูชอบฝึกอาชีพและหนูจะได้เรียนหนังสือ ตอนนี้ก็มีพี่ที่เขาช่วยสอนหนังสือให้หนูอยู่”

          แก้วตา เป็นเด็กสาวอายุ 15 ปี รูปร่างสมส่วน ผิวสองสีหน้าตาเกลี้ยงเกลา เธอดูขี้อาย และไม่ค่อยอยากพูดจากับคนแปลกหน้าเท่าใดนัก ภูมิหลังของแก้วตานั้น เธอเป็นเด็กต่างจังหวัด สภาพครอบครัวแตกแยกเนื่องจากพ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่แก้วตาอายุได้ประมาณสี่ห้าขวบ แก้วตามีน้องชายอีกหนึ่งคนเมื่อพ่อแม่แยกทางกันก็แบ่งลูกไปดูแลฝ่ายละคน ตัวแก้วตานั้นต้องย้ายมาอยู่บ้านย่า แก้วตาได้เรียนหนังสือแค่เพียงชั้น ป.1 เท่านั้น เนื่องด้วยแก้วตามีปัญหาพัฒนาการช้า เซื่องซึม ความจำสั้น นับเลขไม่ได้ แก้วตาจึงอ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ แก้วตาจึงต้องอยู่บ้านทำงานรับจ้างขุดเผือก ขุดมัน และทำนา พอแก้วตาอายุเข้าสู่วัยสาว 15 ปี แม่ก็ไปรับแก้วตามาอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ เพื่อมาช่วยทำงานหารายได้ เป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง รายได้ที่แก้วตาได้ประมาณสองร้อยกว่าบาท หลังจากทำงานเธอบอกว่าต้องให้เงินที่ได้กับพ่อเลี้ยงทั้งหมด...

          “เขาดูหน้าตาน่ากลัวมาก ตัวใหญ่ ๆ ดำ ๆ ทำงานขับรถบรรทุก…หนูไม่มีทางสู้เขาได้เลย” นี่คือคำอธิบายถึงพ่อเลี้ยงใจโหดของแก้วตา...

          สถาบันหน่วยที่เล็กที่สุดแต่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ สถาบัน “ครอบครัว” แต่สถาบันเล็กๆ นี้ในสังคมไทยทุกวันนี้ช่างดูง่อนแง่นโงนเงนเสียเหลือเกิน ครอบครัวส่วนใหญ่แตกแยก พ่อไปทาง แม่ไปทาง และลูก ๆ ก็ต้องไปทางใดไม่ก็ทางหนึ่ง โดยที่ไม่มีทางรู้ชะตากรรมในอนาคตเลยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ยิ่งเฉพาะเด็กผู้หญิงการมีพ่อเลี้ยงก็คือความเสี่ยงแล้ว ถ้าพ่อเลี้ยงเป็นคนดีก็ถือว่าโชคดีไป... แต่ถ้าโชคร้ายล่ะ? เด็กผู้หญิงเหล่านั้นต้องแลกมาด้วยอะไร?... ถ้าในวันเกิดเหตุพ่อเลี้ยงใจชั่วต้องการฆ่าปิดปากหรือเกิดพลั้งมือใช้มีดปาดเข้าที่คอของเธอ... แก้วตาก็คงต้องแลกด้วย... ชีวิต

          ปัจจุบันแก้วตาได้รับการดูแลอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉิน และมีแผนในการเรียนการศึกษานอกโรงเรียนต่อไป ซึ่งเบื้องต้นในการเตรียมความพร้อมด้านการเรียนให้กับแก้วตา นักสังคมสงเคราะห์จึงเป็นพี่เลี้ยงที่ช่วยสอนหนังสือให้กับเธอ ส่วนในช่วงเวลาว่างอื่น ๆ แก้วตาก็จะมาเรียนฝึกอาชีพ ซึ่งคุณครูที่สอนฝึกอาชีพก็ชื่นชมว่าแก้วตามีความตั้งใจ และใส่ใจในงานที่ทำได้ดีมาก

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เหยื่อ

เหยื่อ

       ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุตัวเลขว่ามากกว่า 20 ปีมาแล้วที่ผู้หญิง 1 คน ในทุก ๆ 3 คน จะต้องตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต แม้แต่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหภาพยุโรป ก็พบว่าผู้หญิงกว่าร้อยละ 33 มีประสบการณ์ถูกกระทำรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ ประเทศที่มีประชาธิปไตยและการเคารพสิทธิเสรีภาพซึ่งกันและกันอย่างฝรั่งเศสก็มีการประเมินว่าในแต่ละปีมีผู้หญิงตกเป็นเหยื่อคดีข่มขืน และพยายามข่มขืนถึงประมาณ 86,000 ราย แต่มีเพียงร้อยละ 13 เท่านั้นที่ตัดสินใจแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่  ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นอีกหนึ่งภูมิภาคที่ผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ โดยร้อยละ 38 ของผู้หญิงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงและการล่วงละเมิดทางเพศ โดยค่าเฉลี่ยรวมทั้งโลกอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 และที่เลวร้ายไปกว่านั้นยังพบว่าพวกเธอเหล่านั้นมักถูกกระทำจาก สามี คนใกล้ชิด หรือคนในครอบครัว รู้อย่างนี้แล้วผู้หญิงเราจะสามารถไว้ใจใครได้อีก...แทบทุกครั้งที่มีความรุนแรงเกิดขึ้นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมักจะเป็น ผู้หญิงและเด็ก และบ่อยครั้งที่เป็นเด็กผู้หญิง อย่างเช่นเรื่องราวของ "บิว"ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้  

        บิว เด็กหญิงที่ไม่เคยมีครอบครัวเป็นของตัวเอง พ่อตายตั้งแต่บิวยังเล็กๆ ส่วนแม่นั้นไม่เคยเลี้ยงลูกทั้งสี่คนด้วยตนเองเลย ดังนั้นเมื่อคลอดบิวเป็นลูกคนสุดท้องแม่จึงยกบิวให้เป็นลูกของลุงกับป้า แล้วแม่ก็เป็นอิสระบินปร๋อไปมีครอบครัวใหม่ บิวไม่เคยรู้เลยว่าลุงกับป้าไม่ใช่พ่อแม่ของบิวแม้บางครั้งบิวจะถูกเขาด่าว่าเวลาโมโหว่าไม่ใช่ลูกของพวกเขาบิวก็ไม่เคยเชื่อ จนกระทั่งช่วงที่บิวเรียนอยู่ชั้นป.2 บิวถูกลุงที่บิวคิดว่าเขาเป็นพ่อแท้ๆของตนเองข่มขืน และข่มขู่ไม่ให้บอกใคร เด็กน้อยวัย 8 ขวบ ตกนรกอยู่เป็นเวลาร่วมสองเดือน แล้วก็คงจะจริงที่ว่าไม่มีความลับในโลกเพราะวันหนึ่งบิวก็มีเลือดไหลออกมาจากอวัยวะเพศแบบเป็นลิ่มๆ ลุงยังมีหน้าบอกกับป้าอีกว่าบิวประสบอุบัติเหตุหกล้มในห้องน้ำซึ่งก็น่าแปลกที่ป้าก็ยังเชื่อ หลังจากนั้นลุงกับป้าก็แก้ปัญหากับอาการบาดเจ็บของบิวด้วยการไปซื้อผ้าอนามัยให้บิวใส่ เป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆเลือดก็ยังไม่หยุดไหล ลุงกับป้าจึงจำเป็นที่จะต้องส่งบิวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล เมื่อบิวได้เข้ารับการตรวจร่างกายจากแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญผลที่ออกมาไม่ได้สอดคล้องกับเรื่องโกหกที่ลุงแต่งขึ้น เลยต่างพากันซักถามบิวจนได้ความจริงว่าลุงได้กระทำความรุนแรงอะไรกับบิวบ้าง จึงแจ้งให้ตำรวจมาจับลุงใจโหดไปดำเนินคดี

          หลังจากเหตุร้ายได้ผ่านไปบิวได้ไปอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นี่บิวจึงได้พบกับแม่ที่แท้จริงเพราะสถานสงเคราะห์ได้พยายามติดตามหาแม่ที่แท้จริงของบิวจนพบ บิวจึงได้รู้ความจริงว่าเธอไม่ใช่ลูกของลุงกับป้า บิวอยู่ที่สถานสงเคราะห์แห่งนั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วแม่จึงได้มารับตัวบิวไปฝากไว้กับน้า ที่บ้านน้าก็มีพี่สาวคนที่สองและพี่ชายคนที่สามของบิวพักอาศัยอยู่ด้วยพอบิวเรียนชั้นป.4 แม่ก็พาพี่ๆเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ จนกระทั่งบิวอายุย่าง15 ปี แม่จึงพาพี่ๆกลับมาอยู่กับน้าอีก และการมาของแม่และพี่ในครั้งนี้ก็ทำให้บิวต้องตกเป็นเหยื่ออีกครั้งหนึ่ง... ด้วยสภาพบ้านที่แทบทุกคนต้องนอนรวมกันประกอบกับเด็กหญิงชายวัยกำลังหนุ่มกำลังสาวที่แม้จะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันแต่ไม่ได้มีความผูกพันฉันท์พี่น้องเลย ต่างคนต่างคล้ายคนแปลกหน้าต่อกัน... และด้วยแม่ที่นอนอยู่ด้วยก็มักจะกินเหล้าเมาหลับไม่รู้เรื่องแทบทุกคืน... จึงเป็นช่องทางให้พี่ชายคนที่สามซึ่งอายุ 20 ปี ได้พยายามข่มขืนบิว ครั้งแรกไม่สำเร็จแต่บิวไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครทราบเพราะเด็กหญิงไม่รู้จะบอกใครถ้าพูดไปแล้วใครจะเชื่อ... เธอก็เหมือนคนที่อยู่ตัวคนเดียวในโลก... บิวจึงเก็บความหวาดกลัวไว้ภายในจิตใจเพียงคนเดียว... เมื่อมีความพยายามในครั้งแรกจึงมีความพยายามในครั้งต่อมา... พี่ชายบังคับข่มขืนบิวจนสำเร็จ...ซึ่งบิวก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตกเป็นเหยื่อครั้งแล้วครั้งเล่า...ความเงียบและการเก็บเรื่องเลวร้ายนี้ไว้คนเดียวคือทางออกที่เด็กผู้หญิงวัย 15 ปีจำต้องเลือกให้กับตัวเองเนื่องจากมองไม่เห็นทางเลือกอื่นอีกแล้ว

         เหมือนชีวิตของบิวจะดีขึ้นเมื่อแม่ได้ย้ายเข้ามาทำงานรับจ้างในกรุงเทพฯ อีกครั้ง และบิวได้ติดสอยห้อยตามมาด้วย... แต่พี่ชายก็ไม่ปล่อยให้บิวเป็นอิสระได้นานเขาได้ตามมาหาบิวที่กรุงเทพฯเพื่อที่จะมาขอกับแม่ให้เขาได้ใช้ชีวิตคู่อยู่กินกับบิวแบบสามีภรรยา แทบไม่น่าเชื่อว่าแม่ยินยอมเห็นดีด้วยกับพี่ชายบิวจึงต้องจำใจอยู่กับพี่ชาย... จะให้บิวทำ อย่างไรก็บิวเพิ่งอายุ 15 ปี งานก็ไม่มีทำ บ้านก็ไม่มี บัตรประชาชนแม่ก็ไม่พาไปทำแม่บอกว่าไม่สำคัญอะไรจะพาไปทำเมื่อไรก็ได้... บิวจึงต้องตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกครั้งหนึ่ง... ความซวยของบิวยังไม่จบเมื่อ บิวตั้งท้องและคลอดลูกคนแรกออกมาเป็นเด็กปัญญาอ่อน (Down Syndrome) เนื่องจากเด็กเป็นลูกของชายหญิงที่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่ก็ยังพอมีโชคดีอยู่บ้างที่ลูกคนที่สองมีสุขภาพปกติและแข็งแรงดี ชีวิตครอบครัวของบิวในช่วงแรกๆถ้าทำใจลืมๆเรื่องที่ถูกพี่ชายข่มขืนจนต้องตกมาเป็นภรรยาของเขาแล้วชีวิตของบิวกับสามีก็ปกติสุขดีจะมีทะเลาะกันบ้างในเรื่องเงินๆทองๆ ที่ไม่ค่อยจะพอใช้แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นทุบตีทำร้ายกัน แต่พอช่วงปลายปี 2553 สามีของบิวติดยาบ้าอย่างหนักจนบิวทนไม่ไหวจึงหอบลูกทั้งสองไปอาศัยอยู่กับแม่และพ่อ ชีวิตช่วงนี้ของบิวเริ่มเข้าที่เข้าทาง บิวและพ่อเลี้ยงไปทำงานรับจ้าง แม่เลี้ยงลูกให้...แต่ความสุขมักอยู่กับบิวได้ไม่นานบิวต้องตกเป็นเหยื่ออีกครั้ง

          ช่วงเดือนมีนาคม 2554 สามีหรืออีกนัยหนึ่งก็คือพี่ชายของบิวมาตามบิวกลับบ้าน แต่บิวไม่ไป เขาจึงเอาน้ำกรดที่ได้เตรียมมาสาดและราดจากหัวลงไปถึงลำตัวของบิวแต่บิวยังพอมีสติดีเธอคว้าถังน้ำที่อยู่ใกล้ตัวมาราดตัวเองและร้องเรียกหาคนช่วย แม่ได้ส่งบิวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนพี่ชายได้หนีหายไปตำรวจยังไม่สามารถจับตัวได้ บิวมีอาการทรมานปวดแสบปวดร้อนไปตามศีรษะ ใบหน้า ลำตัว ขาข้างซ้าย และแขนทั้งสองข้าง แผลเริ่มดำคล้ำไหม้และเฟอะมากขึ้นบิวต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากนั้นโรงพยาบาลได้ส่งบิวเพื่อมาพักฟื้นที่บ้านพักฉุกเฉิน บาดแผลทางกายและบาดแผลทางใจของบิวรวมทั้งความหวาดกลัวว่าตนเองจะต้องอัปลักษณ์ด้วยแผลเป็นที่นูนออกมาหลายแห่งบนร่างกาย รวมทั้งรอยด่างบนใบหน้า ส่งผลให้บิวไม่อยากจะพูดคุยกับใคร วันๆเอาแต่ร้องไห้ และทรมานอยู่คนเดียว...บิวต้องทานยาคลายเศร้าอยู่เป็นประจำ... หลายคนในครอบครัวของบิวต่างกระทำกับบิวเหมือนเธอเป็นผักปลาหรือสิ่งของ... ชีวิตของบิวต้องตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยมา... ปัจจุบันบิวอายุ 23 ปี อารมณ์ของบิวไม่ค่อยคงที่เท่าใดนักอาจเนื่องมาจากประสบการณ์ชีวิตอันเว้าแหว่งขาดวิ่นของเธอ บิวบอกกับเราว่าเธอพยายามหาทางออกให้กับตัวเอง ด้วยการอ่านหนังสือธรรมะ และเรียนฝึกอาชีพหลักสูตร เย็บผ้า... เผื่อว่าในวันข้างหน้าเธอจะได้มีอาชีพที่พอจะหาเลี้ยงตนเองได้โดยที่ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของใครอีกต่อไป

...................................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 

อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org 

Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org 

หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บาดแผลที่มองไม่เห็น

บาดแผลที่มองไม่เห็น

 จินลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในรถตู้ และกำลังถูกพาไปยังจังหวัดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นประตูสู่ภาคอีสานของไทย ในช่วงแรกของการออกเดินทางภาพที่ปรากฎให้เห็นช่างเป็นภาพเดิมๆ ที่บ่งบอกถึงความเจริญของเมืองกรุง... ท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยเจ้ากระป๋องวิ่งได้... ผู้คนดูเร่งรีบกับการเริ่มต้นของเช้าวันใหม่... จนกระทั่งยานพาหนะได้พาเราฝ่าความวุ่นวายเหล่านั้นออกมา... ขณะนี้สิ่งที่เห็นได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นเทือกเขาที่ทอดตัวเป็นแนวยาว ต้นไม้สองข้างทางที่ผลัดเปลี่ยนกันมาอยู่ในจอประสาทตาของจินราวกับการฉายภาพสไลด์ ผ่านโรงงานปูนซิเมนต์ ผ่านวัดวาอาราม เบื้องหน้าเป็นรถไถนาที่ขับช้าๆ เลียบริมไหล่ทางอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ด้านขวามือมีป้ายชี้ว่า ปักธงชัย บ่งบอกว่าใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว

          จินละความสนใจจากสิ่งภายนอกต่างๆ กลับมาสำรวจเพื่อนร่วมทางภายในรถ ด้านขวามือ... น้องคนขับรถที่ไม่สนใจอะไรนอกจากพวงมาลัยและถนนเบื้องหน้า ด้านหลังในที่นั่งแถวแรกเป็นสาวใหญ่วัยกลางคน แต่งกายภูมิฐาน ผมหยักศกสีดำสนิทถูกรวบไว้ด้านหลัง เธอกำลังหลับใหลอย่างคอพับคออ่อน ศีรษะส่ายงึกงักไปมา แต่ไม่ได้ยินเสียงกรน เธอคือหัวหน้าของจิน ถัดไปอีกแถวเป็นหญิงไทยวัยสาวสะพรั่งคนหนึ่งที่จินคุ้นเคยกับเธอเป็นอย่างดี เธอมีรูปร่างสมบูรณ์สมวัยที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะมาหมาดๆ ผิวของเธอค่อนข้างคล้ำแต่ก็สะอาดสะอ้านเหมือนได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากเจ้าของ ผมยาวดกดำถูกถักเป็นเปียสองข้างไว้อย่างเป็นระเบียบ มีลูกผมระตามหน้าผากและสองข้างแก้มเล็กน้อย ศีรษะเธอเอนพิงซบไปกับเบาะด้านหลัง ริมฝีบากบางที่เคยพูดจ้อเจื้อยแจ้ว เผยอยิ้มน้อยๆ ดวงตาที่ส่องประกายราวเม็ดนิลในยามตื่นซึ่งแฝงไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัยบัดนี้ปิดสนิท มีเพียงเสียงผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ

        พลันภาพซ้อนของวันวานเมื่อหลายปีที่แล้ว ที่จินได้พบกับเธอผู้นี้เป็นครั้งแรกก็ปรากฏทับซ้อนขึ้นมา

         เช้าในวันนั้นจินกำลังรอรถเมล์เพื่อไปทำงานตามปกติ เครื่องมือสื่อสารรูปร่างสี่เหลี่ยมอันเล็ก ที่ซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ทั้งสั่นทั้งดังเรียกร้องทำให้จินต้องละความสนใจจากรถราเบื้องหน้า และล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อช่วยให้มันได้ออกมาสู่โลกภายนอก ก่อนที่จะดิ้นตายไปเสียก่อน ตัวอักษรที่ขึ้นอยู่หน้าจอบ่งบอกว่าใครโทรมา และสื่อความหมายว่า "งานเข้า"

         จินได้พบกับ "สวย" ณ โรงพยาบาลเฉพาะทางชื่อดังแห่งหนึ่ง แม้จะล่วงเลยมานานมากด้วยกาลเวลาแต่ภาพนั้นยังจารลึกอย่างชัดเจนในความทรงจำของจิน ภาพเด็กผู้หญิงนั่งกอดเข่าซ่อนใบหน้าไว้ราวกับว่ามันเป็นที่ซ่อนตัวอันปลอดภัยจากโลกภายนอกอันแสนโหดร้าย ห้องทั้งห้องดูอึมครึมและหม่นหมองไปพร้อมกับเธอ... เด็กน้อยมีร่างกายซูบผอมคล้ายเด็กขาดสารอาหาร กระดูกตามข้อปูดโปนจนน่ากลัวว่ามันจะทะลุผิวหนังอันแสนหยาบกร้านของเธอออกมา ผิวหนังที่ค่อนข้างคล้ำแห้งแตกเป็นขุย ส้นเท้าแตกเป็นริ้วๆ ผมหยาบกระด้างสีดำตัดสั้นแทบติดหนังศีรษะ และยังเว้าๆ แหว่งๆ ตรงเกือบกลางศีรษะมีรอยฝีเข็มเย็บแผลของแพทย์เป็นทางยาวนั้นเป็นช่องโหว่อยู่ไม่มีผมขึ้นแม้สักเส้น ภาพนั้นสะกดความรู้สึกของจินให้หยุดมองอึ้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

         ในห้วงของความคิดคำนึงอื้ออึงไปด้วยคำถาม เธอไปพบเจออะไรมาบ้างหนอจึงมีสภาพเช่นนี้... ความสดใสของวัยแรกรุ่นได้หนีหายไปอยู่ที่ตรงไหน... ใครกันที่พรากสิ่งสวยงามไปจากเธอ... คงไม่พ้นการกระทำของมนุษย์อีกแล้วที่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันถึงเพียงนี้ ร่างกายภายนอกยังบอบช้ำขนาดนี้แล้วหัวใจดวงน้อยๆ ของเด็กคนนี้เล่าจะบาดเจ็บปานใด จินครุ่นคิดอย่างหนักจนคิ้วแทบจะย้ายที่มาอยู่รวมกัน ถ้าไม่ติดรอยย่นที่หัวคิ้วมาคั่นไว้


             เรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของสวยค่อยๆ หลั่งไหลกลับมาในห้วงสำนึก... สวย เด็กผู้หญิงซึ่งเป็นพี่สาวคนโตของครอบครัวอันแสนยากจนข้นแค้นครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้ไม่แน่ชัดว่าจะเข้าทำนองมีลูกมากจึงยากจน หรือ เพราะยากจนจึงมีลูกมาก แม่ของสวยมีลูกทั้งหมดนับที่ยังมีชีวิตอยู่รวมสวยด้วยก็เจ็ดคน ซึ่งแม่ของสวยได้เล่าว่าจริงๆ แล้วเธอท้องลูกทั้งหมดสิบสามคนแต่แท้งไปเสียหกท้อง ส่วนพี่ชายคนโตของสวยนั้นเป็นพี่คนละพ่อที่ได้แยกทางกันไปและอาศัยอยู่กับครอบครัวฝ่ายสามีเก่า สวยจึงกลายมาเป็นลูกคนโตที่มีน้องเล็กๆ อีกห้าคนให้ต้องดูแล แม่เป็นแรงงานสำคัญและเป็นแหล่งรายได้หลักของครอบครัวเพราะพ่อมีร่างกายที่ไม่สมประกอบ แขนข้างขวาของพ่ออ่อนแรงทำงานหนักไม่ได้เนื่องจากตกต้นไม้ตั้งแต่สวยยังเล็กๆ นอกจากนี้พ่อมักหาเรื่องทะเลาะกับแม่ด้วยเหตุเมาและหึงหวง ตั้งแต่เล็กมาสวยได้รับความอบอุ่นจากตาและยาย สวยเรียนจบป.6 ซึ่งก็คงมากพอสำหรับครอบครัวที่ปากกัดตีนถีบรับจ้างทำงานไปวันๆ และไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง แถมยังมีลูกดกยัวเยี้ยให้ต้องเลี้ยงดู โชคดีเหลือเกินที่เด็กอีกหกคนไม่ได้ลืมตามาดูโลกที่แสนลำเค็ญใบนี้

          หลังจากเรียนจบ สวยได้ไปรับจ้างทำงานก่อสร้างแต่ก็ถูกโกงค่าแรงสวยจนต้องออกจากงาน ไม่นานก็มีคนในหมู่บ้านซึ่งเป็นนายหน้าหาเด็กไปทำงานบ้านให้กับคนรวยในเมืองหลวงอันศิวิไลซ์มาพูดกับแม่เพื่อชักชวน สวยจึงได้เข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังไม่ทำบัตรประชาชน สวยทำงานเป็นเด็กรับใช้ให้กับครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนที่มีฐานะร่ำรวยครอบครัวหนึ่ง คุณผู้หญิงเป็นคนเดียวที่อยู่บ้านทุกวัน คุณผู้ชายไปทำงาน ลูกๆ ทั้งสี่คนของคุณผู้หญิงไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ โดยสามในสี่คนที่จบออกมาต้องเกี่ยวข้องกับการรักษาคนเจ็บป่วย


        เวลางานของสวยเริ่มตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง สวยต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ล้างจาน ล้างห้องน้ำ ทำความสะอาดบ้านหลังใหญ่ทั้งหมด ล้างรถทุกคันในบ้าน ซักผ้าด้วยมือแม้จะมีเครื่องซักผ้าอำนวยความสะดวกแต่สวยมักไม่มีสิทธิ์ใช้ นอกจากนี้สวยยังต้องจัดเตรียมอาหารเช้า กลางวัน และเย็น เก็บโต๊ะอาหารและอื่นๆ อีกมากมายตามแต่คุณผู้หญิงจะบัญชา สวยทำงานหนักแต่ไม่เคยได้รับเงินเดือนเพราะคุณผู้หญิงบอกว่าจะส่งให้แม่เอง สวยไม่มีวันหยุด วันไหนงานน้อยโชคดีหน่อยสวยจะได้เข้านอนตอนเที่ยงคืน เด็กน้อยมักรู้สึกเหมือนเพิ่งจะได้ปิดเปลือกตาก็ต้องพยามยามดึงรั้งหนังตาอันหนักอึ้งขุดตัวเองออกมาจากที่นอน เมื่อคุณผู้หญิงมาตามให้เธอไปทำงานในเช้าตรู่ของวันใหม่... เป็นอย่างนี้อยู่เสมอจนสวยคิดว่ามันคงจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป

         สวยที่อยู่ในวัยอันสดใส เป็นวัยที่สมองและร่างกายพร้อมจะเจริญเติบโตหากได้รับการดูแลเอาใจใส่ทั้งด้านความรู้ สติปัญญา อาหารที่ถูกหลักโภชนาการ และถูกสุขลักษณะ น้ำจิตน้ำใจ ความเอื้ออารีจากเพื่อนมนุษย์ จากครอบครัวที่ดูเหมือนจะดีพร้อมทั้งฐานะการศึกษาและอาชีพ จากผู้ใหญ่ที่มีทุกอย่างเหนือกว่าเด็กอย่างสวยที่มาจากภาคอีสานอันแร้นแค้น แต่สวยไม่เคยได้รับโอกาสนั้นในบ้านหลังนี้ แม้กระทั่งอาหารประทังชีวิตในแต่ละมื้อถ้าไม่ใช่น้ำเปล่าก็เป็นข้าวที่หลงเหลือมาจากวันไหนก็ไม่รู้ซึ่งถูกแช่ไว้ในตู้เย็น รสชาติของมันเมื่อแตะลิ้นมันช่างเย็นยะเยือกไปสู่ขั้วหัวใจดวงน้อยอันขาดวิ่นเว้าแหว่งของสวย แม้บางมื้อสวยจะมีกับข้าวเพิ่มขึ้นมา ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่กับข้าวที่มีรสเผ็ดจี๊ดไปถึงดวงตาและออกไปสองหูอย่างเจ้าพริกป่นพวกนี้ยิ่งเรียกหยาดน้ำตาให้ออกมาพรั่งพรูได้อย่างร้ายกาจ สวยบอกตัวเองให้อดทนเมื่อนึกถึงใบหน้าของยายของแม่พร้อมกับดวงตาอันไร้เดียงสาและรอคอยของน้องๆ

           วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยามสวยเล่นสนุกกับเพื่อนที่โรงเรียน วิ่งเล่นตามท้องทุ่ง เกี่ยวข้าว ดำนา จับกบจับเขียด แต่ไฉนวันเวลาของสวยในช่วงนี้จึงเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง กว่าจะหมดไปในแต่ละวัน ช่างเหนื่อยแสนเหนื่อยสายตัวแทบขาด ปริมาณงานที่ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นช่างเป็นปฏิกิริยาผกผันกับสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลง รูปร่างของสวยลีบเล็กผอมโซดำคล้ำคล้ายไม้เสียบผีเข้าไปทุกวัน ผ่านไปเพียงเดือนเศษๆ คุณภาพงานของสวยคงจะลดลงจนถูกใจคุณผู้หญิงบ้างไม่ถูกใจบ้างซึ่งส่วนที่ไม่ถูกใจดูจะมากกว่า สวยจึงมักถูกลงโทษด้วยการด่าทอและทุบตี ถ้าคุณผู้หญิงมีอารมณ์โกรธมากก็จะใช้เข็มขัดหนังหัวเหล็กฟาดมาตามตัวและศีรษะของสวย หรือไม่ก็เอาเก้าอี้ไม้สักหัวโล้นฟาดเข้าที่กลางหลัง บ่อยครั้งที่คุณผู้หญิงทำโทษโดยให้สวยตบปากตัวเองจนเลือดกลบปาก และยังบังคับให้เอาหัวโขกพื้น ลูกๆ ของคุณผู้หญิงก็เคยห้ามปรามมารดาแต่ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนเรื่องเด็กสวยถูกทำร้ายอาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาของครอบครัวนี้

  ในสายตาของซาตาน ชีวิตของสวยคงจะธรรมดาและดูสุขสบายเกินไปจนก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา จึงได้ดลบันดาลวันที่คงจะเป็นตัวแดงในปฏิทินใจของสวยไปตลอดชีวิต วันนี้สวยทำงานหนักอย่างเช่นเคยด้วยร่างกายที่อ่อนล้าและเหมือนจะเป็นไข้ เสียงคุณผู้หญิงสั่งงานเข้าหูบ้างไม่เข้าบ้าง สวยทำงานผ่านไปด้วยความเคยชินเหมือนหุ่นยนต์ไร้วิญญาณ... ที่ชั้นสองของบ้านหากมีใครในบ้านหลังข้างๆ ได้ใส่ใจมองผ่านเข้าไปก็คงจะเห็นภาพเหตุการณ์ที่น่าตื่นตระหนกผนวกกับเศร้าสลด...

          เสียงหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาและการแต่งกายดูดีด่าทอเด็กลูกจ้างที่นั่งซักผ้าอยู่ด้านหน้าดังโหวกเหวก สิ้นเสียงนั้นก็ตามมาด้วยเสียง "ปึ๊ก" ท่อแป๊ปเหล็กรูปทรงกลมที่ใช้เป็นราวตากผ้าไม่ทราบขนาดฟาดเข้ากลางหลังของเด็ก เด็กน้อยหล่นจากเก้าอี้ ความเจ็บแล่นเข้าสู่กลางลำตัวแผ่เป็นวงกว้างไปรอบหัวใจกลั่นเป็นน้ำใสๆ ออกจากตา

          "คุณผู้หญิงอย่าทำหนู หนูกลัวแล้ว" เด็กน้อยละล่ำละลักพร้อมยกมือไหว้ขอความเมตตา คุณผู้หญิงหยุดชะงัก ประกายตาของเด็กน้อยเริ่มมีความหวังว่าคุณผู้หญิงคงสงสารตนบ้าง ฉับพลันคุณผู้หญิงก้มลงคว้าเก้าอี้ไม้ตัวเล็กฟาดตามลงมา เด็กน้อยก้มศีรษะเพื่อป้องกันภัยตามสัญชาติญาณการเอาตัวรอด

        "โพล้ะ" เสียงเก้าอี้กระทบกับด้านหลังศีรษะของสวย เสียงนี้ต้องมีอะไรแตกหักบางอย่าง เก้าอี้ที่หล่นอยู่ข้างกายของสวยยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนหน้านี้ สวยรู้สึกตึบๆ ที่ศีรษะเหมือนมีชีพจรไปเต้นอยู่ตรงนั้น จากชาหนึบกลายเป็นเจ็บและปวด สวยค่อยๆ ยกมือขึ้นแตะคลำศีรษะของตนเอง มีน้ำข้นๆ เหนียวเหนอะสีแดงเข้มและมีกลิ่นคาวติดมือมา

         สวยไม่โง่จนจะไม่รู้ว่าตนเองบาดเจ็บ สวยรู้ว่าตนเองบาดเจ็บจากการถูกทำร้าย แต่เด็กน้อยบ้านนอกตัวคนเดียวจะทำอย่างไรได้ เธอมีทางเลือกอื่นหรือไม่หากครอบครัวนี้ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวที่เธอรู้จักในเมืองใหญ่ไม่หยิบยื่นความปราณีให้... แล้วเหตุการณ์นั้นก็ผ่านไปสำหรับคนในบ้านนั้น แต่สำหรับสวย มันไม่ได้ผ่านไปอย่างง่ายดาย ความทุกข์ทรมานจากบาดแผลที่ไม่ได้รับการเยียวยาเลยได้ส่งผลออกทางกาย สวยตัวร้อนราวกับไฟ ลมหายใจเข้าออกช่างผ่าวร้อนจนแสบจมูก ลำคอแห้งผาก ปากแตกเป็นขุยจนเลือดออกซิบๆ แต่สวยยังต้องแข็งใจทำงานต่อไปจนกลางดึก สวยแบกร่างกายอันหนักอึ้งสู่ห้องของตน ทิ้งตัวลงนอนและควานหาผ้าห่มมาห่อร่างกายที่คล้ายมีไฟเผาแต่ในความรู้สึกของสวยเธอหนาวเหน็บและสั่นเทาราวเป็นไข้จับสั่น สติของสวยดับวูบลงอย่างไม่อินังขังขอบต่ออะไรทั้งสิ้น

         คงได้เวลาทำงานอีกแล้ว สวยบอกตัวเอง เสียงคุณผู้หญิงมาตะโกนอยู่หน้าห้อง ประสาทรับรู้ของสวยยังทำงานอยู่แต่ร่างกายกลับไม่ไหวติง มันคงอยากจะลาป่วย สวยไม่สามารถขยับตัวได้เลย ทุกอณูขุมขนมันเจ็บปวดและหนาวสั่น คุณผู้หญิงเปิดประตูเข้ามายืนมองและพูดอะไรไม่รู้ คงไม่มีใครรู้ได้ว่าภาพที่เห็นส่งผลอะไรต่อความรู้สึกนึกคิดของสาวใหญ่คนนี้บ้าง ความรู้สึกผิด สงสาร และเมตตา จะมีในพจนานุกรมชีวิตของเธอหรือไม่ หลังจากนั้นสวยถูกบังคับให้ต้องมีเรี่ยวแรง คุณผู้หญิงสั่งให้สวยเก็บสมบัติเท่าที่จะทำได้ใส่กระเป๋าใบเดิมที่มาจากบ้านแล้วลากตัวสวยมาโทรศัพท์หาแม่ บังคับให้พูดตามที่คุณผู้หญิงสั่งเท่านั้น แต่สวยไม่พูดอะไรเลย การนิ่งเฉยของสวยเป็นการกระตุ้นอารมณ์โกรธของคุณผู้หญิง คุณผู้หญิงยกเท้าขึ้นมาตบหน้าสวยหลายที สวยเจ็บจนรู้สึกชาไปหมดแล้ว คุณผู้หญิงก็ลากสวยออกจากบ้านขึ้นรถ

 เมื่อรถจอดสนิท คุณผู้หญิงพาสวยลงมายังสถานที่แห่งหนึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่โตสีขาว หลังคาโค้ง มีผู้คนเดินขวักไขว่เข้าออกพร้อมสัมภาระ สวยตาลายและสับสนว่านี่คือที่ไหนกัน ไม่นานจึงเริ่มรู้สึกคุ้นๆ... ใช่สวยเคยมาที่นี่มาก่อน มันมีรถจักรรูปร่างคล้ายหนอนตัวยาวๆ ที่เวลามันเคลื่อนตัวจะมีเสียง "ฉึกฉักๆ" ที่สวยและเพื่อนๆ มักร้องเล่นกันบ่อยๆ ว่า "ถึงก็ซ่าง... บ่ถึงก็ซ่าง" มันเคยพาสวยมาสู่มหานครแห่งนี้ และมาพบกับครอบครัวที่แสนโหดร้าย และตอนนี้คุณผู้หญิงพาสวยไปช่องซื้อตั๋ว จ่ายเงินแล้วพาสวยไปส่งขึ้นรถไฟกลับบ้าน

         นั่นคือสิ่งที่ทำให้สวยคิดว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่พบคุณผู้หญิง แต่โลกมันกลม และใครทำอะไรไว้ย่อมได้รับผลจากการกระทำนั้นเสมอ

         หลังจากสวยหลับๆ ตื่นๆ ด้วยพิษไข้อยู่บนรถไฟเพียงลำพังจนถึงตัวเมืองของจังหวัดแห่งหนึ่ง มันได้จอดแวะส่งสวยลงปลายทางที่ต้องการแล้วรถจักรคันยาวก็ทอดทิ้งสวยไว้ที่สถานีอย่างเดียวดาย... สวยหาเศษเหรียญหยอดตู้โทรศัพท์ไปหาป้าเพื่อให้ช่วยไปบอกแม่ เพราะครอบครัวสวยไม่มีหรอกไอ้โทรศัพท์มือถือเนี่ย จากนั้นสวยแข็งใจแบกสังขารของตนเองไปนั่งรถสองแถวที่ป้าบอกเพื่อไปลงหน้าหมู่บ้าน แล้วแม่กับป้าจะมารับ แรกพบแม่ตกใจกับสภาพลูกน้อยที่เห็น... เหมือนแม่ถูกสายฟ้าฟาดลงกลางใจ นี่ลูกฉันไปโดนอะไรมา... นี่ฉันส่งลูกไปลงนรกมาหรือนี่... ใครทำอะไรกับลูกของฉัน ความเสียใจและรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องลูกของตนเองได้ คำถามข้อสงสัยหลากหลายประดังประเดเข้ามา...

         แม่... หญิงชาวบ้านผู้ต่ำต้อยน้ำตาคลอ แม่สวมเสื้อยืดเก่าซีดขาดเป็นรู ผ้าถุงลายขวางที่แสนซ่อมซ่อคงจะเปื่อยยุ่ยติดมือมาถ้าถูกจับต้องแรงๆ แม่ยังคงตัดผมสั้น โหนกแก้มและหน้าผากเต็มไปด้วยฝ้าซึ่งก็ไม่รู้ว่าผิวที่แท้จริงของแม่เคยเป็นเช่นไร แม่สวมรองเท้าแตะคีบที่มีร่องรอยผ่านการออกงานมาอย่างโชกโชน ฝ่ามืออันแสนหยาบกร้านของแม่เอื้อมมาจับตัวลูกสาวคนโตดึงตัวเข้าไปสวมกอด เหมือนเส้นความอดทนของสวยได้ขาดสะบั้นลง สวยปล่อยโฮออกมาอย่างสุดชีวิต เสียงร้องไห้ของสวยกรีดลึกลงไปกลางใจกลางหัวอกคนเป็นแม่จนไม่สามารถบอกได้ว่าจากเหตุการณ์นี้ใครเจ็บปวดกว่ากัน

         ด้วยความช่วยเหลือของป้า สวยถูกนำตัวไปรับการรักษายังโรงพยาบาลประจำจังหวัด และมีองค์กรเอกชนเข้ามาช่วยเหลือทั้งด้านการรักษาพยาบาลและการดำเนินคดี หลังจากนั้นสวยได้ถูกพากลับมาสู่กรุงเทพฯ อีกครั้งเพื่อรับการบำบัด ฟื้นฟู เยียวยา ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงด้านการดำเนินคดี ณ องค์กรที่จินทำงานอยู่

         หลังจากพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาทั้งร่างกายและจิตใจอยู่ระยะหนึ่ง สวยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ความสดใสกลับมาสู่เด็กวัยรุ่นอีกครั้ง แต่สวยยังคงตกใจและตื่นเต้นง่ายมากกับสถานการณ์ใหม่ๆ ฝันร้ายกลับมาเยือนสวยในบางค่ำคืน แต่สวยก็รู้ว่ามันไม่จริงและย้ำกับตัวเองทุกครั้งว่าที่นี่ปลอดภัยเหมือนที่คุณหมอและพี่ๆ ทุกคนให้ความมั่นใจกับสวย เมื่อผลการประเมินจากนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์และแพทย์รวมทั้งตัวสวยเองบ่งบอกว่า สวยพร้อมจะก้าวออกมาจากฝันร้ายแล้วเริ่มต้นใหม่ ป้านักสังคมสงเคราะห์ได้พาสวยไปสมัครเรียนชั้น ม.1

         วันนั้นสวยใส่ชุดนักเรียนใหม่เอี่ยม รองเท้านักเรียนถูกขัดจนมันเป็นเงา แต่สวยเกลียดทรงผมของตัวเอง มันเว้าแหว่งไม่เป็นทรงแม้มันจะยาวกว่าเดิม แต่ตรงที่เป็นแผลเป็นยังไม่มีผมขึ้นมาปกคลุมเลย สวยอาย... สวยกลัว... หัวใจของสวยเต้นราวกลองเพลระหว่างนั่งอยู่ต่อหน้าผู้อำนวยการโรงเรียน สวยนั่งก้มหน้า ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร จากสภาพทางกายของสวยทำให้ผู้อำนวยการโรงเรียนอ้ำอึ้งในการตัดสินใจอยู่นาน และมีคำพูดบ่ายเบี่ยงคล้ายๆ ว่าไม่อยากรับสวยเข้าเรียน แต่ป้านักสังคมสงเคราะห์ก็รับรองอย่างแข็งขัน สุดท้ายสวยกลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนไว้อย่างไรคงไม่มิด สวยได้เรียนหนังสืออย่างสมใจโดยที่สวยปฏิญาณตนไว้เลยว่าจะต้องเรียนและเอาดีให้ได้

         เรื่องราวยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ มันแค่เพียงเริ่มต้นเท่านั้น ก็โลกมันกลม เพราะสวยยังต้องเข้าสู่กระบวนการเรียกร้องความเป็นธรรม ในวันสำคัญของสวยอีกวันหนึ่ง แสงสีทองเพิ่งสาดส่องแต่งแต้มท้องฟ้า ท้องถนนที่พลุกพล่าน รถติดเป็นแพอยู่เบื้องล่าง คณะของสวย แม่ จินและทีมงานอยู่ในรถบนทางด่วนที่ทอดยาว จุดหมายเพื่อไปยังสถานที่ราชการที่ดูศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขาม ศาลอาญา สถานที่ที่ทำให้สวยจิตใจหวาดหวั่น ระทึก ระคนตื่นกลัว ทุกคนพยายามพูดคุยเพื่อผ่อนคลายความเครียด แม้ศาลจะมีระบบดูแลเหยื่อผู้ถูกกระทำที่เป็นเยาวชนอย่างดี เราก็คงหนีไม่พ้นที่ต้องพบหน้ากับคุณผู้หญิงที่มีสีหน้าและแววตาเรียบเฉย ริมฝีบางปิดสนิทราวกับไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ สวยจับมือจินไว้แน่น เหงื่อออกเต็มอุ้งมือ จินรู้ว่าสวยรู้สึกหวาดกลัว รู้สึกไร้เรี่ยวแรงและรู้สึกว่าความเป็นคนของสวยลดน้อยลงยามเผชิญหน้ากับคุณผู้หญิง จินบีบมือเล็กๆ นั้นไว้ "ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว สวยไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว" นั่นคือสิ่งที่จินกระซิบบอกสวยในวันนั้น สวยและจินอยู่ในห้องแยกเพราะสวยยังอายุไม่ถึง 18 ปี สวยให้ปากคำกับศาลโดยผ่านกระบวนการป.วิอาญา มีนักสังคมสงเคราะห์เป็นตัวกลางในการให้การต่อศาล และต่อมาก็เป็นแม่ของสวยและคุณผู้หญิงที่ต้องอยู่ในห้องพิจารณาคดีและให้การต่อหน้าศาลโดยตรง แต่สวยไม่สามารถเข้าฟังได้ คุณผู้หญิงสู้คดีอย่างเต็มที่ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จากคำให้การกลายเป็นว่า สวยเป็นเด็กดื้อ ซน ขี้เกียจ และลื่นหกล้มด้วยความซุ่มซ่ามของสวยเองรวมทั้งสวยมีแม่และญาติที่หัวหมอต้องการได้เงินจึงมาฟ้องร้องเอาผิดกับคุณผู้หญิงแบบนี้

         กฎแห่งการกระทำมีจริง... ปลูกไม้ผลอะไรไว้ผลของมันย่อมออกมาให้เก็บกินหรือชดใช้ คำตัดสินของศาลชั้นต้นตัดสินว่าจำเลยกระทำผิดจริง คุณผู้หญิงจึงยื่นอุทธรณ์ ซึ่งผลของมันก็ยังยืนตามศาลชั้นต้น ปัจจุบันกำลังรอศาลฎีกาก็เป็นอันสิ้นสุดกระบวนการคดีประวัติศาสตร์ "ใช้แรงงานเด็กเยี่ยงทาส" ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร

         จากวันนั้นวันที่ทุกข์ทรมานสาหัสที่สุดในชีวิตของสวย เป็นเวลาที่เหมือนจะยาวนานและน่าจะลบเลือนสิ่งต่างๆ อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นจนหมดสิ้น เหมือนสภาพร่างกายของสวยที่หากเอาภาพถ่ายในอดีตกับปัจจุบันมาวางคู่กัน ถ้าไม่เคยรู้เบื้องหลังของเรื่องราวมาก่อน จะไม่มีใครจำได้เลยว่าทั้งสองภาพคือบุคคลคนเดียวกัน แต่ใครจะรู้แม้ภายนอกจะดูสวยงามตามวัย ไม่มีร่องรอยบาดแผลที่บ่งชี้ว่าสวยผ่านอะไรในชีวิตมา ด้วยวัยเท่านี้เธอพบเจอวิกฤตมามากมายกว่าหลายๆ คนที่อายุเข้าเลขสามเลขสี่ด้วยซ้ำ จินเชื่อว่าในใจของสวยยังมีแผลเป็นที่คล้ายกับแผลบนศีรษะของเธอซึ่งทุกวันนี้ยังคงอยู่ เพียงแต่ผมที่ยาวได้ปกปิดแผลเป็นนั้นเอาไว้ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามสวยได้ก้าวข้ามทุกอย่างในวันนั้นแล้ว อดีตก็คืออดีต แม้มันจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมันก็ได้ผ่านไปแล้วเหมือนที่เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้

         วันนี้จินมาส่งสวยเข้าศึกษาต่อในระดับวิทยาลัย ไม่ว่าชีวิตจะผ่านช่วงเวลาดีหรือร้ายอย่างไรมาแต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป สวยเจ้าได้เติบโตเข้มแข็งและเป็นที่ภาคภูมิใจของครอบครัวและพวกเราทุกคน

.......................................................................................................................................
หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1  ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์:knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113    หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org

Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน ดอนเมือง http://www.facebook.com/apswthailand.org
 หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พ่อเลี้ยงใจโฉดกับแม่แท้ๆ ผู้ไม่ใยดี

พ่อเลี้ยงใจโฉดกับแม่แท้ๆ ผู้ไม่ใยดี
                            Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ
เจ้าของเรื่อง: ผู้หญิงและเด็กที่พักพิงอยู่ในบ้านพักฉุกเฉิน
ผู้เขียน: ปองธรรม สุทธิสาคร ,Edit:จิตรา นวลละออง
 “เดือนแรม” สาวน้อยอายุ 16 ปี หญิงสาวเจ้าเนื้อผิวสองสี ที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์   ขาข้างหนึ่งดามเหล็กเอาไว้เนื่องจากเคยประสบอุบัติเหตุ  นอกจากนี้แม้เดือนแรมจะเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แต่เดือนแรมก็ไม่สามารถเขียนหนังสือ หรืออ่านหนังสือได้ เนื่องจากเดือนแรมมีความบกพรอ่งทางสติปัญญา ดังนั้นบ้านพักฉุกเฉินจึงส่งเสริมเดือนแรมในด้านการพัฒนาทักษะด้านอาชีพ เพื่อที่จะได้มีวิชาชีพ มีทักษะติดตัวไปประกอบอาชีพได้
เบื้องหลังชีวิตของเดือนแรมก่อนจะมาอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉินนั้นเรียกได้ว่า ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายเสียอีก ครอบครัวของเดือนแรมนั้นแตกแยก พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงต้องอาศัยอยู่กับญาติข้างแม่ที่ต่างจังหวัด ขณะที่ผู้เป็นแม่เดินทางเข้ามาทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นานทีปีหนจึงจะกลับบ้านมาหาเธอ แม้จะเรียนหนังสือไม่เก่งนักแต่เดือนแรมก็เป็นเด็กใฝ่ดี ขยันขันแข็ง เอาการเอางาน เธอช่วยญาติทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้  ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่เมืองหลวง หลังจากเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
  เดือนแรมพักอาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยงในห้องเช่าเล็กๆ สามีคนใหม่ของแม่ประกอบอาชีพพนักงานขับรถสิบล้อด้วยความที่กลัวจะเป็นภาระของแม่ เดือนแรมจึงไปสมัครงานเป็นเด็กเสิร์ฟอาหาร และล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวในละแวกที่อยู่อาศัย  ชีวิตของเด็กหญิงเดือนแรมน่าจะเป็นชีวิตที่เรียบง่ายไม่หวือหวา เธอคงจะอาศัยอยู่กับแม่และทำงานเก็บเงินไปเรื่อยๆ หากว่าในวันหนึ่งจะไม่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่กลายเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวด  และเลวร้ายในชีวิตของเธอ
...พ่อเลี้ยงกลับมาจากทำงานเข้ามาเจอเดือนแรมอยู่ที่ห้องเช่าคนเดียว หลังจากนั้นก็ลงมือล่วงละเมิดและข่มขืนเธอ ขณะนั้นเดือนแรมยังเด็ก พ่อเลี้ยงข่มขู่บังคับเธอไม่ให้บอกใคร หลังจากวันนั้นเธอก็อยู่ในห้องเช่าด้วยความกลัว หวาดระแวง โดยเฉพาะเวลาที่แม่ไม่อยู่
พ่อเลี้ยงยังหาโอกาสกระทำกับเดือนแรมในทุกๆ ครั้งที่เขามีโอกาส เธอถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นเด็กหญิงที่ขี้กลัว ไม่กล้าสู้หน้าใคร กลายเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองอย่างแรง       เด็กสาววัยรุ่นกลายเป็นที่ระบายตัณหาให้กับพ่อเลี้ยงอยู่อย่างนั้นเป็นแรมปี โดยที่แม่ของเธอไม่ได้รับรู้หรือระแคะระคาย       สภาพจิตใจของเดือนแรมในขณะนั้นทั้งหวาดกลัว สับสน เจ็บปวด
...มันเป็นเวรเป็นกรรมแต่หนใดกันหนอที่เด็กสาววัยแค่สิบกว่าปีอย่างเธอต้องมาพบเจอกับเรื่องบัดสีให้ชีวิตต้องมีตราบาปเช่นนี้... 
คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในความคิดของเดือนแรมอยู่ตลอด จนบางครั้งเธออยากจะตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด        ความเจ็บปวดของเด็กสาวหาได้หยุดลงเพียงเท่านี้ หัวใจของเดือนแรมแหลกยับอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่าในวันที่แม่ของเธอได้รับรู้ความจริง
   ...วันหนึ่งแม่ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวแล้วกลับมาที่ห้องเห็นพ่อเลี้ยงกำลังกระทำกับเดือนแรม แทนที่จะเข้าไปห้ามปรามหรือปกป้องลูกกลับกลายเป็นว่า แม่ของเธอกลับแอบดูพร้อมกับความรู้สึกหึงหวง เคียดแค้น ... พอทุกอย่างจบลงแม่ก็เปิดประตูเข้ามาแล้วก็เปิดถุงก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ  เทราดหัวเดือนแรม แล้วก็ด่าเธอสาดเสียเทเสีย นอกจากไม่ปกป้องลูกแล้วยังซ้ำเติมแถมเข้าข้างสามีใหม่อีก...
     หัวใจของเดือนแรมทั้งหวาดกลัวและบอบช้ำจนสุดจะบรรยาย เด็กสาววิ่งหนีผู้ให้กำเนิดอย่างไม่คิดชีวิต ความร้อนจากน้ำก๋วยเตี๋ยวทำให้ตามเนื้อตัวของเธอแสบร้อน  ขณะเดียวกันร่างกายก็สั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัวจนเสียขวัญเดือนแรมวิ่งหนีออกมาไกลและไร้จุดหมาย   ก่อนที่จะมีพลเมืองดีพาตัวเธอมาส่งที่ บ้านพักฉุกเฉินสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ หลังจากเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น บ้านพักฉุกเฉิน  จึงได้พาเธอเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับพ่อเลี้ยง  ในตอนแรกพ่อเลี้ยงได้ให้การปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหาก่อนที่จะยอมรับสารภาพในที่สุด
               
     ตั้งแต่ที่เดือนแรมเริ่มต้นเข้ามาใช้ชีวิตในบ้านพักฉุกเฉิน และมีคดีความกับพ่อเลี้ยง แม่ของเธอไม่เคยแวะเวียนมาเยี่ยมเลยสักครั้ง  จะมีเพียงโทรศัพท์มาหาเจ้าหน้าที่เพื่อขอตัวเด็กสาวกลับไปทำงาน ยิ่งนานวันเข้าความรักของแม่ก็ยิ่งเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามสำหรับเดือนแรม และมีเพียงครั้งเดียวที่แม่มาเยี่ยมเดือนแรมเพื่อที่จะพาตัวเดือนแรมกลับไปเป็นแรงงาน โดยที่...

...แม่พาแฟนใหม่ของตัวเองมาแนะนำกับเดือนแรม บอกว่าเลิกกับพ่อเลี้ยงคนนั้นแล้ว ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างดีขึ้นแล้ว ปลอดภัยแล้ว แต่ไม่ได้คิดว่าเรื่องที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับลูกตัวเองบ้าง... 

    จากพฤติกรรมของแม่ที่ไม่สามารถดูแลปกป้องลูกของตนเองได้     และมีแนวโน้มว่าหากเดือนแรมกลับไปอาจต้องตกเป็นเหยื่อของพ่อเลี้ยงคนใหม่ได้อีก บ้านพักฉุกเฉินจึงไม่สามารถที่จะส่งเดือนแรมคืนให้กับแม่ของเธอได้
    เดือนแรมจึงยังคงอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉินเพื่อเรียนฝึกอาชีพ และตั้งหลักให้กับชีวิตที่จะเริ่มต้นใหม่ แม้ว่าชีวิตที่ผ่านมาจะต้องพบเจอกับปัญหาที่เกินกว่าเด็กหญิงคนหนึ่งจะพึงแบกรับ หากแต่เดือนแรมก็ไม่เคยคิดหรือทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำเลวร้ายลงกว่าเดิม ทั้งที่บาดแผลในชีวิตของเธอล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้ทั้งสิ้น  แม้จะเป็นคนพูดน้อย รวมทั้งมีอาการเหงาเศร้าอยู่บ้าง หากแต่เดือนแรมก็ยังคงมุ่งมั่นไฝ่ดี และทุกคนที่นี่ก็พร้อมจะเป็นกำลังใจให้เดือนแรม
.................................................................................................................
หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1  ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org

Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org

บ้านพักฉุกเฉิน

https://www.facebook.com/pg/apswthailand.org/videos/?ref=page_internal


วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บทเรียนชีวิตของดวงใจ

บทเรียนชีวิตของดวงใจ

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ


ดวงใจ หญิงสาวร่างเล็ก วัย 20 ปี เธอมีใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้ม ผิวสองสี ผมยาวหยักศกถึงกลางหลัง เธอบอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ดวงตากลมเล็กของเธอเปล่งประกายถึงความสุขเมื่อเอ่ยถึงลูกสาวคนแรกวัย 2 ขวบที่อยู่กับแม่ของเธอที่ต่างจังหวัด  

“ลูกหนูเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมากค่ะ ไม่งอแง พูดรู้เรื่อง ตอนนี้เขาท่อง กไก่ ถึง ฮอนกฮูก และนับเลข หนึ่ง ถึงสิบ ได้แล้ว เดี๋ยวเขาก็จะเข้าเรียนเตรียมอนุบาลแล้ว...หนูรักเขามากที่หนูอยู่มาจนทุกวันนี้ไม่ฆ่าตัวตายไปซะก่อนก็เพราะเขา...และก็พ่อกับแม่ของหนู...”

หลังจากนั้นดวงใจก็เริ่มมีน้ำตาคลอ ไหล่ของเธอสั่นไหวตามแรงสะอื้น หยาดน้ำตาหยดลงมาแตะต้องมือของเธอที่บีบอยู่บนหน้าตักของเธอเอง

“หนูมีปัญหาอะไรหนูไม่เคยต้องรบกวนพ่อแม่เลย หนูก่อปัญหาเองหนูก็แก้เองจัดการเองหมด แต่นี่หนูต้องเอาทองแม่ไปขายเพื่อจะทำแท้งเพราะหนูท้องไม่มีพ่อ ทองแม่เขาบอกว่าจะเก็บไว้ให้หลาน แค่ทองเส้นเดียวหนูก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ หนูทำปัญหาให้แม่ เพราะหนูมันเชื่อคนง่าย ”

ดวงใจผ่านการมีสามีมาทั้งหมด 2 ครั้ง สามีคนแรกชื่อนายวัฒนาเขาอายุเท่ากับเธอ เป็นผู้ชายที่ดี ขยันทำมาหากินมีความรับผิดชอบ เป็นสามีที่ทุกวันนี้เธอก็ยังรู้สึกเสียดาย ดวงใจถอนหายใจและเอ่ยออกมาเพื่อบอกกับเราหรืออาจจะบอกกับตนเองว่า “แต่มันก็คือเรื่องที่ผ่านไปแล้วเขาก็มีครอบครัวใหม่ไปแล้ว...ถ้าเขารักหนูจริงเขาก็ต้องหนักแน่นมากกว่านี้” 

เมื่อถามถึงสาเหตุที่ต้องแยกจากกันนั้นดวงใจก็ไม่แน่ใจนัก อาจจะเพราะความห่างเหินไม่เข้าใจกันเมื่อนายวัฒนาเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ส่วนดวงใจเลี้ยงลูกคนแรกอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด หลายครั้งที่นายวัฒนากลับมาเยี่ยมครอบครัว นายวัฒนาก็มีความต้องการที่จะมีสัมพันธ์กับภรรยาตามปกติ แต่ดวงใจต้องการให้นายวัฒนาใช้ถุงยางอนามัย เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าในช่วงที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนายวัฒนาไปมีสัมพันธ์กับใครมาบ้าง เธอก็กลัวจะติดโรค และถ้าเขาไม่ใช้ถุงยางดวงใจก็ปฏิเสธการหลับนอนกับเขา นายวัฒนาไม่พอใจจนกล่าวหาว่าดวงใจมีคนอื่น ไม่นานนายวัฒนาก็นอกใจ ดวงใจจึงต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีเรือพ่วงเป็นลูกสาวตัวน้อยที่เธอแสนรัก ดวงใจเลี้ยงลูกด้วยตนเองอยู่ที่ต่างจังหวัดได้ปีกว่า เธอก็เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อมาทำงานรับจ้าง ดวงใจได้ค่าแรง 300 บาท/วัน เธอประหยัดเงินเพื่อเก็บไว้ให้ลูก โดยเธอจะใช้จ่ายเพียงวันละ 20 บาท เท่านั้น ระหว่างนี้มีชายหนุ่มใหญ่ ชื่อนายชัยพร เข้ามาติดพันเธอ คอยดูแลช่วยเหลือเรื่องเงินทองทั้งที่ยังไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกัน คบกันได้เพียงหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ดวงใจก็ใจเร็วตัดสินใจอยู่กินมีความสัมพันธ์กับเขาโดยที่ไม่เคยป้องกัน เมื่อถามถึงเหตุผลที่เธอเลือกนายชัยพรเป็นคู่ชีวิต เธอบอกว่า

“เขาดูมีความเป็นผู้ใหญ่ น่าจะช่วยเหลือเป็นเพื่อนให้คำปรึกษาเราได้ ถามว่ารักเขาไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ แต่คิดว่า มีคนมาช่วยหาเงินส่งให้ลูกก็ดี อยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง”

แล้วดวงใจก็ต้องผิดหวัง เพียงเดือนเดียวเท่านั้น นายชัยพรก็เผยธาตุแท้ออกมา กินเหล้า เล่นพนัน กลับบ้านดึก เมามาเอามีดสปาต้าออกมาข่มขู่ ดวงใจใช้ชีวิตกับนายชัยพรด้วยความหวาดกลัวและเบื่อหน่าย จนท้องได้หนึ่งเดือนเธอจึงบอกให้นายชัยพรรับรู้ “พอบอกเขาว่าท้องเขาบอกว่าเอาไว้นะอย่าไปทำแท้ง ถ้าทำนี่ขาดกันเลย เราก็ดีใจเนอะผู้ชายยืดอกรับผิดชอบเต็มที่” ความดีใจของดวงใจคงคล้ายกับการสูบลูกโป่งเขาไปเต็มที่แล้วลูกโป่งก็แตกในทันที เพราะนายชัยพร มีพฤติกรรมแย่กว่าเดิมอีก เมา นอนไม่ไปทำงาน เงินทองไม่มีใช้ ภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาตกที่ดวงใจทั้งหมด สรุปได้ว่าแทนที่นายชัยพรจะมาแบ่งเบาภาระกลับกลายมาเป็นภาระให้กับเธอเสียมากกว่า

“หนูรู้สึกเอือมเขานะ จึงไม่พูดกับเขา เราก็อยู่กันแบบไม่พูดกัน มึนตึงกัน เขาก็ไปเมา”

จนดวงใจท้อง 4 เดือน ความอดทนของดวงใจหมดลงเมื่อนายชัยพรเมาหาเรื่องด่าว่าบุพการีของดวงใจอย่างหยาบคาย การทะเลาะครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น นายชัยพรโมโหกระชากคอเสื้อดวงใจเข้าไปตบ ต่อย จนใบหน้าบวมปูดและปากแตก ซึ่งคนแถวนั้นไม่มีใครช่วยเหลือเธอเลย ดวงใจต้องไปอาศัยนอนบ้านเพื่อและยุติความสัมพันธ์กับนายชัยพรลง ดวงใจอุ้มท้องไม่มีพ่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ชีวิตที่ต่างจังหวัดของดวงใจก็ไม่ได้ดีนักเพราะเธอต้องปิดบังทุกคนว่าเธอท้อง สังคมต่างจังหวัดนั้นแคบผู้คนรู้จักกันหมดเธอกลัวว่าพ่อแม่จะอับอายจึงเก็บเงียบไว้คนเดียวดวงใจต้องใช้ชีวิตตามปกติทำงานหนัก ทำก่อสร้าง ทำนา จนท้องได้ 6-7 เดือน แม่สังเกตเห็นเธอจึงต้องเล่าความจริงให้แม่ฟัง แต่เธอก็ยังโกหกแม่ว่าท้องเพียงแค่ 4-5 เดือนเท่านั้น แม่จึงให้เธอนำทองมาขายเอาเงินมาทำแท้ง

ดวงใจเดินทางเข้าสู่เมืองกรุงด้วยความตั้งใจที่จะมาทำแท้ง แต่เธออายุครรภ์ตั้ง 7 เดือนแล้ว ตามคลินิกทำแท้งเถื่อนเรียกเงินค่าทำแท้งกับเธอเป็นจำนวนที่สูงมากเกินกว่าที่เธอจะหาได้ แม้เธอจะตัดใจขายทองเก่าที่แม่ให้มาเพื่อเอาเด็กออกก็ยังได้เงินไม่พอ ดวงใจแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่ เดินทางจากขนส่งหมอชิต มาหาลูกพี่ลูกน้องที่พักอยู่ย่านลาดพร้าว ดวงใจไม่สามารถบอกกับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นได้ว่าตนเองท้องไม่มีพ่อเธอจึงต้องแขม่วท้องอยู่ตลอดเวลา ซึ่งด้วยเธอก็ท้องโตมากแล้วจึงเป็นที่น่าสงสัย ดวงใจกลัวความลับแตกกลัวชุมชนที่บ้านต่างจังหวัดรู้แล้วพ่อแม่ของเธอจะต้องอับอาย เธอจึงตัดสินใจแบกเป้เดินจากมา ทั้งที่ไม่มีที่จะไป ดวงใจหญิงท้องโตเธอต้องเดินจนขาบวม เพราะไม่รู้จะไปไหนเธอจึงโทรติดต่อที่ 1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์และท้องไม่พร้อม ซึ่งเธอบอกว่าเขาใจดีและให้คำแนะนำปรึกษากับเธอได้ดีมากๆ และเขาก็ได้ติดต่อและให้คำแนะนำให้ดวงใจมาพักเพื่อรอคลอดที่บ้านพักฉุกเฉิน

ชีวิตทุกวันนี้ทีบ้านพักฉุกเฉินดวงใจยังคงต้องปรับตัวปรับใจอยู่เรื่อยๆ บ้านพักได้ส่งเธอไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาล ลูกในท้องของเธอแข็งแรงดี ทุกวันเธอจะมาเรียนปักผ้าที่ฝ่ายการศึกษาและฝึกอาชีพจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน เธอวางแผนว่าหลังคลอดลูกคนนี้แล้วเธอก็จะทำหมัน เธอบอกกับเราถึงบทเรียนชีวิตที่ผ่านมาว่า

“เวลาที่ท้องไม่มีพ่อ ทำแท้ง หรือทิ้งลูก ส่วนใหญ่สังคมจะพุ่งเป้ามาที่ผู้หญิง แต่หนูก็ไม่โทษใครนะหนูมองมาที่ตัวหนูเอง ต่อไปนี้ถ้าจะมีแฟนหนูจะหาแบบพ่อ จะให้พ่อกับแม่ดูก่อนเลยจเะชื่อพ่อไม่เถียงพ่ออีกแล้ว และก็หนูจะไม่เชื่อคนง่ายอีก มาอยู่บ้านพักนะหนูเลยได้คิดเลยนะว่าต้องใช้ถุงยางอนามัย ผู้ชายวันนี้เป็นสามีเราวันอื่นก็เป็นสามีคนอื่น ก่อนมามีเราเขามีใครมาบ้างก็ไม่รู้เพราะเราไม่ได้ติดตูดเขาไปทุกที่นี่ ถ้าเราติดโรคแล้วลูกเราล่ะ...”
 


หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืนหรือติดเชื้อเอชไอวี   สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉิน 501/1ซ.เดชะตุงคะ1ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com  และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org เฟสบุ๊ค: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org 

เรื่อง โดย ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน
ผู้เขียน/ตรวจอักษร/ภาพ:จิตรา นวลละออง

อุ่นจิตผู้หลงทาง

อุ่นจิตผู้หลงทาง
Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ



“อุ่นจิต” เด็กสาววัยใสผิวคล้ำ  รูปร่างสมวัย อุ่นจิตเป็นเด็กร่าเริงช่างพูดช่างคุย และต้องการเล่าเรื่อง หรือวีรกรรมหลายอย่างของตนเองให้กับคนอื่นๆฟัง  แต่ด้วยวัยเพียง 15 ปี ทำให้อุ่นจิตยังเป็นเด็กที่ไร้จุดมุ่งหมายในชีวิต เธอมีลักษณะของเด็กที่ยังแสวงหาการยอมรับและต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่และคนรอบข้าง  เด็กวัยนี้เป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็นอยากลอง ค้นหาความภาคภูมิใจจากความเก่งกล้าท้าทายในหมู่ผองเพื่อนวัยเดียวกัน ซึ่งหากหลงทางไปในทางที่ผิดก็มีความอันตรายต่อเด็กวัยนี้เป็นอย่างยิ่ง

อุ่นจิตโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกกันอยู่ เธอบอกว่า “ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่แยกทางกันหรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยบอกว่าเขาเลิกหรือเขาไม่ได้เลิกกัน” อุ่นจิตมีพี่น้องทั้งหมดถึง 10 คน และอุ่นจิตเป็นลูกคนที่ 7 พ่อเป็นผู้ที่เลี้ยงดูอุ่นจิตมาตั้งแต่วัยเด็ก ส่วนแม่นั้นเจอกันนับครั้งได้ เพราะแม่แยกไปมีชีวิตของตนเองที่ต่างจังหวัด สำหรับคนในครอบครัวอุ่นจิตไม่ผูกพันกับใครเป็นพิเศษนอกจากพ่อ ซึ่งพ่อจะเลี้ยงดูอุ่นจิตมาแบบตามใจ และอุ่นจิตก็ไม่สนิทกับพี่น้องคนไหนเลย พ่อของอุ่นจิตอยู่บ้านทำงานบ้านและดูแลลูก  ส่วนคนที่ทำมาหาเลี้ยงครอบครัวและมีอำนาจมากที่สุดในบ้านคือพี่ชายคนที่ 3 แต่น่าจะด้วยความเข้มงวดของพี่ชายและพฤติกรรมเกเรของอุ่นจิตทั้ง วัยที่ห่างกันมาก ทำให้หลายครั้งต่างก็ไม่เข้าใจกัน   เมื่อถามถึงสาเหตุที่นำพาให้อุ่นจิตได้มาอยู่ในความดูแลช่วยเหลือของบ้านพักฉุกเฉิน อุ่นจิตก็สามารถให้คำตอบได้อย่างมั่นใจและแฝงไปด้วยความภูมิใจด้วยว่า

“เพราะหนูไม่ตั้งใจเรียนเองแหล่ะ หนูโดดเรียนบ่อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเลย  ล่าสุดหนูก็โดดเรียนและหายออกจากบ้านไป 3 วันไปอยู่บ้านเพื่อน แล้วพอมาโรงเรียนก็มาทะเลาะกับครู ครูเขาก็บ่นเรื่องโดดเรียน หนูก็เบื่อก็เลยบอกครูว่า หนูจะไปเรียนแล้วนะ ครูก็เลยโมโห ถูกครูตีไปหนึ่งที  คือเขาชอบโทรฟ้องเรื่องของพวกหนูกับผู้ปกครอง กลุ่มหนูมักจะมีปัญหากับครูคนนี้ เพราะว่ากลุ่มหนูผู้ชายก็จะดื้อมาก ส่วนผู้หญิงก็จะแสบมาก”
เราลองให้อุ่นจิตเล่าถึงพฤติกรรมของตนเองและเพื่อนๆในกลุ่ม จนทำให้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณครู และพี่ชาย เธอก็เล่าว่า “พวกผู้ชายก็ชอบสูบบุหรี่ และพวกเราก็ชอบโดดเรียน หนูไม่ได้หนีออกจากบ้าน หนูก็แค่โดดเรียนไม่กลับบ้าน 3 วัน แต่ไม่ได้บอกใครที่บ้านเท่านั้นเอง แต่หนูก็ไม่เคยสูบบุหรี่ แค่เคยทดลองกินเป๊ปซี่ผสมยาแก้ไอ แค่อยากลอง”

เมื่อถามถึงการคบหากับเพื่อนต่างเพศ เธอเล่าว่า “ก็มีแฟนที่คุยกันทางเฟสบุ๊ค แต่ก็ไม่ได้อะไรถ้าเขานัดเจอก็คงไม่ไปถ้าไปก็คงเอาเพื่อนไปด้วยทั้งกลุ่ม หนูไม่เคยมีอะไรกับใคร ที่หายไป 3 วันหนูก็ไปอยู่บ้านเพื่อนที่เป็นผู้หญิง”

แต่พฤติกรรมที่อุ่นจิตเล่ามาว่า เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แค่เรื่องอยากลอง แค่เรื่องที่ทำตามๆกันในกลุ่มเพื่อน สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ปกครอง ที่ทั้งรักทั้งห่วงอยากให้เธอได้ดีและตั้งใจเรียน และคอยเข้มงวดเคี่ยวเข็ญเธอมาตลอด ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆอย่างที่อุ่นจิตคิด เพราะเมื่อพี่ชายทราบเรื่องทั้งหมดหลังจากที่น้องสาวตัวดีหายไปจากบ้านและโดดเรียนเป็นเวลา 3 วัน โดยไม่บอกกล่าว โทรศัพท์ไปเป็นร้อยๆ สาย อุ่นจิตก็ไม่รับ พี่ชายจึงติดต่อแม่ของอุ่นจิตและบอกกับแม่ว่า “ไม่ไหวแล้วจะเอาไปไหนกันก็ไป โดดเรียนหลายรอบแล้วนะ พูดก็ไม่ฟัง  ไม่ไหวแล้วไม่เลี้ยงแล้วนะ จะเอาไปไหนก็เอาไปเลย”  นั่นคือคำขาดจากปากพี่ชายที่รับภาระดูแลครอบครัวและอุ่นจิตมาโดยตลอด เมื่อไม่รู้จะไปไหนอุ่นจิตจึงโทรติดต่อเจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ของมูลนิธิแห่งหนึ่ง เพื่อให้ช่วยเหลือหาที่พักอาศัยและที่เรียนให้กับเธอ ซึ่ง เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิแห่งนั้นกับแม่ของอุ่นจิตจึงได้ส่งอุ่นจิตมาที่บ้านพักฉุกเฉิน

เมื่อถามอุ่นจิตว่า มาอยู่บ้านพักฉุกเฉินแล้วอุ่นจิตรู้สึกอย่างไรบ้าง คำตอบของเธอก็ไม่ได้ทำให้เกิดความประหลาดใจเท่าใดนักสำหรับเด็กวัยนี้ เมื่อเธอตอบว่า

“ตอนแรกอยู่ที่บ้านพักฉุกเฉินก็ดีมีเพื่อน แต่พออยู่มาได้สักพัก หนูเริ่มเบื่อแล้วหนูอยากกลับบ้าน  คือที่มาบ้านพักฉุกเฉินหนูอยากย้ายจากโรงเรียนเดิม ไม่อยากเรียนที่นั่นแล้ว พอมาที่นี่หนูก็เบื่อไม่อยากเรียนที่นี่แล้วหนูว่าไม่เห็นว่าจะน่าเรียนเลย อยากไปเรียนที่อื่น เรียนกศน.ก็ได้ แต่ว่าไม่อยู่ที่นี่ ที่เดิมก็ไม่เอา”


ฟังคำตอบที่ตรงไปตรงมา ของอุ่นจิต  ก็เข้าใจว่าวัยรุ่นมักค่อนข้างจะตื่นเต้นกับสถานที่หรือสิ่งใหม่ๆอยู่เพียงประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น เมื่อทิ้งเวลาสักระยะความแปลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจก็จะกลายเป็นความจำเจ และน่าเบื่อหน่าย และด้วยพื้นฐานที่อุ่นจิตค่อนข้างจะทำอะไรตามใจตนเองเป็นหลัก  เจ้าหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ และผู้ปกครองของอุ่นจิต คงต้องคอยประคับประคองให้อุ่นจิต ผ่านพ้นภาวะวิกฤตนี้ไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง เพราะอุ่นจิตยังเยาว์นัก ความคิดและการตัดสินใจของเด็กวัยเพียง 15 ปี นั้นยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะดูแลหรือดำเนินชีวิตด้วยตนเอง ซึ่งเราก็หวังว่า อุ่นจิตจะมีจุดมุ่งหมายในชีวิต และสามารถเข้าใจในความหวังดีของผู้ใหญ่ จนเป็นแรงผลักดันให้เธอกลับมาเดินในหนทางที่นำพาชีวิตของตนไปในทางที่ดีได้ในสักวันหนึ่ง
.......................................................................................................................................
หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน 
โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org
Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org
เรื่อง โดย ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน
ผู้เขียน:จิตรา นวลละออง

ชีวิตใหม่

  ชีวิตใหม่ Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง...