วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2564

ชีวิตใหม่

 

ชีวิตใหม่

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง

รัตนา หญิงสาววัยผู้ใหญ่จากต่างจังหวัด เธอมีร่างกายผ่ายผอม ผมบนศีรษะก็ขึ้นหร็อมแหร็มผิวหนังตามร่างกายแขนขาก็เป็นตุ่มหนอง บ่งบอกว่ารัตนาต้องมีปัญหาด้านสุขภาพอย่างแน่นอน

รัตนา เป็นผู้ป่วยติดเชื้อ เอช ไอ วี ที่เพิ่งเข้ามาพักที่บ้านพักฉุกเฉินได้ไม่นาน แรกเริ่มเดิมทีที่รัตนาเข้ามาที่บ้านพักเธอมีน้ำหนักตัวเพียง 34 กิโลกรัมเท่านั้น ก่อนหน้านี้รัตนาไม่เคยทำการตรวจรักษาเกี่ยวกับโรคที่ตนเองเป็นมาก่อน แม้การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิต้านทานก็ไม่เคย รัตนาเพิ่งได้มาทำการตรวจที่บ้านพักฉุกเฉินเมื่อเจ้าหน้าที่พาไปและพบว่าระดับภูมิต้านทานของเธอเป็นศูนย์ นั่นหมายถึงว่า ร่างกายของรัตนาไม่มีภูมิต้านทานเลย หากเธอรับเชื้อโรคและเจ็บป่วย รัตนาก็สามารถลาโลกนี้ไปได้ทุกเมื่อ

เรื่องราวชีวิตก่อนหน้านี้ของรัตนา เธอนั้นทำงานรับจ้างและมีครอบครัว รัตนามีสามีมาแล้วทั้งหมด 4 คน มีลูกสาว 3 คน ลูกสาว 3 คน ล้วนเป็นพี่น้องต่างบิดา และเป็นความโชคดีที่ลูกสาวไม่ได้รับเชื้อโรคร้ายจากแม่ ส่วนกับสามีคนสุดท้ายนั้นไม่มีลูกด้วยกัน เมื่อสอบถามรัตนาว่าเธอคิดว่าเธอติดเชื้อโรคนี้มาจากใคร... เธอตอบว่าน่าจะเป็นสามีคนที่ 2 เพราะสามีคนแรกนั้นเป็นคนดีไม่เที่ยว ทำแต่งานดูแลครอบครัวอย่างดี เลิกกันเขาก็เอาลูกไปดูแล สาเหตุที่เลิกกับสามีคนแรกเพราะ “เขาคงเป็นคนดีเกินไป” นี่ก็เป็นคำตอบของรัตนา ซึ่งเราก็จะไม่ก้าวล่วงไปในเหตุผลของรัตนาเพราะครอบครัวและชีวิตใครก็ของคนนั้นเราคงไม่สามารถไปตัดสินอะไรแทนได้ อีกทั้งแต่ละคนก็ต่างมีเหตุผลของตนเอง

หลังจากเลิกกับสามีคนแรกได้ประมาณ 3 ปี รัตนาก็ได้มีสามีคนที่ 2 เธอบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ไม่เที่ยวผู้หญิง แต่เขาก็ไม่ใช่ว่าจะดีนัก ทั้งค้าและเสพยา ทั้งยาบ้า ยาไอซ์ รัตนาไม่รู้ว่าเขาใช้เข็มฉีดยาเสพเฮโรอีนหรือไม่ ส่วนรัตนาเมื่อท้องลูกคนที่ 2 เธอต้องไปตรวจครรภ์และฝากครรภ์เธอจึงรู้ว่าเธอมีเชื้อเอช ไอ วีเข้ามาเป็นเพื่อนใหม่ในร่างกาย

ครั้งแรกที่รู้ที่หมอบอกหนูก็ไม่เชื่อนะ คือมันไม่อยากจะเชื่อ แล้วก็ไม่เคยบอกกับเขา เลิกกับเขามาได้ 12 ปีแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไร อาจจะตายไปแล้วก็ได้”

หลังจากเลิกกับสามีคนที่ 2 รัตนานำลูกไปให้ป้าดูแล ส่วนตนเองก็ทำงานรับจ้างและส่งเงินไปให้ป้า แล้วรัตนาก็มาพบรักใหม่กับสามีคนที่ 3 รัตนาอยู่กินกับเขาโดยที่ไม่เคยบอกความจริงให้สามีรู้เลยว่าเธอมีเชื้อ เอช ไอ วี ในร่าง กาย ซ้ำทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ก็ไม่เคยป้องกัน และสามีคนนี้ก็เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์

หนูบอกให้เขาใช้ถุงยางเพราะสงสารเขาไม่อยากให้เขาเป็น แต่เขาก็ไม่ยอมใช้ แต่หนูก็ไม่รู้ว่าเขาติดจากหนูหรือติดจากอะไร เพราะเขาค้ายาเสพยา และเสพเฮโรอีนด้วย แต่ตัวหนูไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดะไรของเขาเลย แล้วเขาก็ตายเพราะติดเราหรือเพราะตัวเขาเอง... ตอนเขาไม่สบายเขาก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วเขาคงรู้ เพราะก่อนเขาจะตายเขาเหมือนมีอะไรจะบอกกับหนูแต่ก็ไม่บอกเขาได้แต่บอกว่าให้หนูเอาลูกกลับไปเลี้ยงที่บ้าน”

เมื่อสิ้นสามีคนที่ 3  รัตนาจึงพาลูกกลับไปให้ป้าเลี้ยงให้ แล้วเธอจึงมาทำงานรับจ้างแถว ๆ กรุงเทพฯและปริมณฑล แล้วรัตนาก็ได้สามีคนที่ 4 ซึ่งทำงานรับจ้างเป็นยาม รัตนาก็ยังคงไม่ได้บอกกับสามีคนที่4 ว่าตนเองติดเชื้อพร้อมทั้งมีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย      

การใช้ชีวิตกันสามีคนที่ 4 รัตนามักถูกสามีขี้เหล้าทุบตีทำร้ายร่างกาย เธอทนเป็นกระสอบทรายให้สามีคนนี้ได้ไม่นานจึงหนีไปอยู่กับญาติ ซึ่งญาติของรัตนาก็ป่วยเป็นโรคเดียวกันกับเธอทั้งยังเคยมาพักขอความช่วยเหลือที่บ้านพักฉุกเฉินจนแข็งแรงแล้วจึงออกไปทำงานภายนอก ซึ่งในภายหลังเมื่อรัตราอาการหนักญาติคนนี้จึงได้พารัตนามาพักที่บ้านพักฉุกเฉิน

ก่อนที่จะมาบ้านพักฉุกเฉินนั้น รัตนาไม่มีอาการอะไรบ่งชี้เลยว่าเธออาการกำเริบ เธอจึงไม่ได้ไปหาหมอ รัตนาคิดว่าการปฏิบัติตนของเธอที่ดูแลอาหารการกินของตนเองอย่างดี ซื้ออาหารเสริมมาทาน การออกกำลังกาย คงจะทำให้เธอแข็งแรงโดยที่เธอไม่ต้องไปโรงพยาบาล จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้วจู่ ๆ ผมก็ร่วง น้ำหนักก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ พอโดนยุงกัดแล้วเกาตุ่มหนองก็ลามไปทั้งตัว เบื่ออาหารกินอะไรไม่ได้เลยข้าวเพียงทัพพีเดียวก็ไม่หมด ญาติจึงบอกว่านี่แหละอาการออกแล้ว

เมื่อมาบ้านพักฉุกเฉินรัตนาจึงได้เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างเหมาะสม เธอได้รับการตรวจสุขภาพ ตรวจคัดกรองวัณโรคและโชคดีว่าไม่พบ รับยาต้านสูตรแรก อาการของเธอเริ่มดีขึ้นน้ำหนักของรัตนาในปัจจุบันเพิ่มมาเป็น 40 กิโลกรัม

ที่บ้านพักดีมากให้ทุกอย่าง ทั้งของกินของใช้ และยังความรู้ ให้ทุกอย่าง ให้จนดีเกินไป เจ้าหน้าที่ทุกคนก็เต็มใจให้คำแนะนำ และเขาก็ยังพาหนูไปหาหมอ เขาดูแลเราดีจนเกินไปด้วยซ้ำ”

รัตนาเริ่มมองเห็นความหวังของชีวิตใหม่เธอจะดูแลตัวเองให้แข็งแรงก่อนเพื่อจะสามารถเป็นหลักให้กับลูกๆของเธอ เมื่อรัตนาแข็งแรงแล้วจะออกไปทำงานเพื่อส่งเงินให้ลูกที่เธอฝากเลี้ยงกับป้าที่ต่างจังหวัด

...........................................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว  ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่  สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1    ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2929 2301-7 ต่อ 109,113 E-mail: admin@apsw-thailand.org     เว็บไซต์สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ  หรือ เฟซบุ๊ก : สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน ดอนเมือง

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เมื่ออยู่ด้วยกันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น



Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน 


“ถ้ากลับไปหาเขาก็กลับไปตายค่ะ ...กลับไปตายแท้ ๆ” 

นี่คือคำบอกเล่าถึงชีวิตคู่ของ “ดวงดาว” หญิงตั้งครรภ์ วัยกลางคน ที่มาขอรับความช่วยเหลือที่บ้านพักฉุกเฉิน ด้วยปัญหา สามีติดยาบ้าและทุบตีทำร้าย โดยที่ฝากลูกคนโตไว้กับแม่ของสามีที่ต่างจังหวัด

ย้อนไปในวัยเด็กพ่อและแม่ของดวงดาวแยกทางกันตั้งแต่ดวงดาวยังจำความไม่ได้ และพ่อกับแม่ก็ต่างแยกไปมีครอบครัวใหม่  ดวงดาวจึงเติบโตด้วยการเลี้ยงดูจากยาย เธอบอกว่าอยู่กับยายมีความสุขอบอุ่น ยายส่งให้เธอเรียนจนจบระดับปวส.หลังเรียนจบก็ทำงานเป็นพนักงานขายของตามห้างสรรพสินค้า

ดวงดาว ได้คบหากับนาย “วิเชียร” โดยพบเจอเป็นเพื่อนกันทางแอพพลิเคชั่นออนไลน์ “เฟซบุ๊ก” ได้คุยกันและนัดเจอกัน “ตอนเป็นแฟนกันช่วงโปรโมชันก็ดีมาก” ก็เลยตกลงที่จะอยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส นายวิเชียรมีอาชีพรับจ้างเป็นช่าง ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยุ่กรุงเทพฯเรื่อยมาจนช่วงหลังดวงดาวจับได้ว่าวิเชียรเสพยาบ้า ดวงดาวบอกว่า“หนูก็ไม่รู้ว่าเขาเสพยามาก่อนที่จะมาอยู่ด้วยกัน หรือเพิ่งมาเสพแต่พอหนูจับได้ว่าเขาเสพยาบ้า เขาก็ไม่ปิดบังอีกเลย”

ต่อมาดวงดาวและวิเชียรย้ายกลับมาอยู่บ้านเกิดของนายวิเชียรที่ต่างจังหวัด ซึ่งนายวิเชียรก็รับจ้างเป็นช่างอยู่ที่บ้าน  ในระยะ 2 ปีแรกถึงนายวิเชียรจะเสพยาก็ยังไปทำงานได้ ต่อมาดวงดาวท้องและคลอดลูกคนแรกจนลูกคนแรกอายุได้ประมาณ 1 ขวบ เข้าปีที่ 3 เมื่อดวงดาวตั้งท้องลูกคนที่ 2 สามีก็เสพยาหนักขึ้นและน่ากลัวมากขึ้น ไม่ไปทำงาน เดินทั้งวัน ไปทำงานไม่ได้  ดวงดาวอายุครรภ์ได้ 5 เดือน สามีอารมณ์รุนแรง เดินทั้งวัน โมโหร้าย ด่าและทุบตีลูกเมีย พอไม่มีเงินให้เขาไปซื้อยาก็โดนตี ส่วนแม่ของนายวิเชียรเขาก็ไม่ไหวเขาหนีไปอยู่ทุ่งนา

ดวงดาวเล่าว่า “ตัวหนูมีโรคประจำตัว ตอนท้องลูกคนที่สองเขาก็ไม่เว้น เขาตีหัวหนูจนหายใจไม่ออกเขาก็ไม่พาไปหาหมอ จนต้องนอนดมยาดมให้หายเอง  เขาตีแล้วก็ไม่สนใจ ...แม้แต่ลูกคนโตไม่สบายเขาก็ไม่สนใจที่จะพาไปหาหมอ”

ช่วงที่นายวิเชียรมีสติทั้งดวงดาวและแม่ของเขา เคยคุยกับวิเชียรให้เลิกเสพยาแต่เขาก็ไม่ฟัง นายวิเชียรเป็นคนดื้อรั้นแม่เขาพูดเขายังไม่ฟัง  ดวงดาวเคยกลับมาอยู่บ้านยายแต่เขามาตามเพราะเขาก็รู้จักบ้านของเธอ  ดังนั้นถ้าจะตัดขาดกับเขาเธอคิดว่าจะต้องไปที่ ๆ เขาไม่รู้จัก ก็เลยดูเฟซบุ๊กเพจบ้านพักฉุกเฉินมาได้สักระยะแล้วแต่ก็ยังไม่มาทันที อดทนจนถึงที่สุดก่อนจนทนไม่ไหวก็ตัดสินใจมาบ้านพักฉุกเฉินโดยฝากลูกคนโตไว้กับแม่สามี ดวงดาวบอกว่าถ้าไม่มาก็คงไม่มีเงินคลอดลูกเพราะเขาเอาเงินไปซื้อยาบ้าหมด

ความรู้สึกเมื่อมาอยู่บ้านพักฉุกเฉิน

“อยู่บ้านพักดีมีของกิน อยู่ที่บ้านไม่มีกิน ท้องน้ำหนักไม่ขี้นเลย คืออดเพื่อเก็บเงินไว้เพื่อคลอดลูก หิวก็ต้องยอมอด”

ดวงดาววางแผนอนาคตไว้ว่า คิดว่าคลอดลูกคนนี้แล้วฝากเลี้ยงที่บ้านพักฉุกเฉินไปทำงานส่งเงินให้ลูกคนโตแล้วพอตั้งตัวได้ก็จะรับลูกไปอยู่ด้วยกัน กับลูกคนโตแม้จะคิดถึงตอนนี้ก็ต้องอดทนเพราะกลัวจะไปเจอพ่อของเขาแล้วจะมีปัญหา ทำได้ก็แค่ส่งเงินส่งนมและของใช้ไปให้ก่อน

เมื่อถามว่าคิดจะกลับไปหาสามีหรือไม่ เธอตอบว่า

“ตอนแรกก็คิดถึงเขานะ คนเคยอยู่ด้วยกันตั้ง 3 ปี ก็ผูกพัน แต่ถ้าหนูไม่ตัดตอนนี้ลูกก็จะโตขึ้นทุกวัน ลูกก็จะเห็นพ่อตีแม่ ก็ไม่อยากให้ลูกโตมาแบบนั้น  เคยคิดถึงความดีของเขามันก็เหมือนว่าเรา ฝันลม ๆ แล้ง ๆคงไม่มีวันที่จะกลับมาดีเหมือนช่วงแรก ๆ อีกแล้ว หนูเลยขอสมุดเจ้าหน้าที่มาเขียนความเลวของเขาได้ 3 หน้ากระดาษแล้วเอาไว้อ่านช่วงที่คิดถึงเขามาก ๆ ก็เออหายคิดถึงไปเลย ตอนนี้คิดถึงแต่ลูก”

............................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว  ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่  สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1    ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถบริจาคผ่าน ปันบุญ ติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2929 2301-7 ต่อ 109,113 E-mail: admin@apsw-thailand.org     เว็บไซต์สมาคม  www.apsw-thailand.org  

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2564

รักที่ทำร้าย

 

รักที่ทำร้าย

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง


“บัว” หญิงสาวชาวกรุงเทพฯ วัย 21 ปี เธอมาขอรับความช่วยเหลือที่บ้านพักฉุกเฉินพร้อมลูกสาววัย 3 ขวบ ด้วยปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เนื่องจากสามีมักมีอารมณ์ที่รุนแรงโมโหร้าย ทำร้ายทั้งร่างกายจิตใจ รวมทั้งกักขังหน่วงเหนี่ยว

ครอบครัวเดิมของบัวพ่อแม่เป็นคนกรุงเทพฯ บัวเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ พ่อมีอาชีพรับซื้อและขายของเก่า ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน ฐานะไม่ดีมากแต่สภาพครอบครัวก็อบอุ่น ซึ่งบัวยอมรับว่าตนเองพอเข้าช่วงวัยรุ่นก็เกเรและติดเพื่อนเองไม่ได้มีปัญหาครอบครัว

 ต่อมาในช่วงที่บัวกำลังเรียนชั้นม.2 เกิดจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต พ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิต ครอบครัวที่เหลือเพียงบัวและแม่จึงเสียศูนย์ เมื่อพ่อจากไปเธอกับแม่จึงเหมือนเรือที่ขาดหางเสือ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ต้องย้ายออกไปอาศัยญาติ ต่อมาก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมขณะที่บัวกำลังเรียนชั้น ม.3จึงต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน จนต่อมาเมื่อบัวอายุได้ 16 ปี  บัวและแม่ย้ายไปอยู่บ้านป้าที่ต่างจังหวัด บัวและแม่ออกทำงานรับจ้าง ชีวิตเหมือนจะดีขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ เพราะบัวเกิดมีปากเสียงกับลูกของป้า เธอจึงย้ายกลับมาอยูกรุงเทพฯมาอยู่กับแฟนตอนอายุได้ 17 ปี

แฟนของบัวชื่อนาย “เจมส์” เป็นแฟนที่คบหากันตั้งแต่สมัยอยู่กรุงเทพฯ เมื่อบัวย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดยังคุยติดต่อกันทางเฟซบุ๊กและนัดเจอกันเรื่อยมา ส่วนแม่ของบัวก็ย้ายตามกลับมาเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯเช่นเดียวกัน  บัวเล่าว่า พอย้ายมาอยู่กับเจมส์ ทั้งเธอและเจมส์ก็ไม่ได้ทำงานอะไร เพราะบ้านเจมส์ค่อนข้างมีฐานะพ่อกับแม่เจมส์แยกทางกัน แต่ก็เช่าบ้านให้เจมส์อยู่กับพี่สาวและส่งเงินให้ใช้ตลอดไม่ทำงานอะไรก็มีเงินใช้ ซึ่งการอยู่กินกับเจมส์นั้นบัวต้องอยู่ในโอวาทของเจมส์ตลอดห้ามคบหาใครคนอื่นห้ามคุยกับเพื่อนเพราะเจมส์จะขี้หึงมาก ในระยะ 2 - 3 ปีแรกที่อยู่ด้วยกันเจมส์ไม่ออกไปทำงานเลยเพราะต้องอยู่คอยเฝ้าบัว ทำให้บัวรู้สึกอึดอัดมาก เมื่อถามว่าตอนที่คบหากันเขาเป็นอย่างนี้ไหมบัวแจ้งว่าตอนที่คบหากันเขาก็เป็น คุยเฟซบุ๊กกันเขาจะให้เธอเปิดกล้องไว้ให้ดูตลอดว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน ในช่วงนั้นบัวไม่ได้รู้สึกว่ามากเกินไปเธอบอกว่า

“ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่ามันมากเกินไป เพราะว่าแต่ก่อนจะมีแฟนคนนี้ก็เคยคุยกับหลายคนเขาก็จะไม่จริงจังไม่สนใจคุย ๆ หาย ๆ แต่คนนี้เราก็คิดว่าเพราะเขาใส่ใจเรา เขารักเรา เพราะหนูยังเด็กเขาจริงจังกับเรานะใส่ใจเรานะไม่เคยคิดว่าเขาจู้จี้อะไรแบบนี้”

อยู่ด้วยกันได้ 6 เดือน บัวก็ตั้งครรภ์ เธอบอกว่า “หนูอยากมีลูกไม่ได้ป้องกันไม่ได้คิดว่ามันจะแบบ  ...แย่” หลังคลอดลูก เมื่อลูกอายุได้ 6 เดือน นายเจมส์ก็ได้งานทำเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยช่วงที่ไปทำงานเขาก็จะล็อคบ้านไว้ให้บัวอยู่กับลูกสองคนในบ้านกลางคืนเขาไปทำงานก็ล็อคบ้านตลอด เขาจะหวาดระแวงว่าบัวจะมีคนใหม่ ยิ่งพอไปทำงานเขาได้ลองเสพยาไอซ์กับเพื่อนร่วมงานจนติดยาก็มีอาการหนักขึ้นเธอจะคุยเฟซบุ๊กกับเพื่อนก็ไม่ได้ เขาจะคอยเช็กดูตลอดเพราะเขารู้รหัสเฟซบุ๊กของเธอ บัวบอกว่า “แม้แต่กูเกิ้ลเขาก็หึงเขาหาว่าหนูคุยกับฝรั่ง หนูจะพาลูกออกไปเล่นสนามเด็กเล่นหรือนอกห้องก็ไม่ได้เขากลัวหนูไปเจอผู้ชายข้างห้อง เจอผู้ชายคนอื่น”

บัวยังบอกอีกว่าเธอเคยพยายามจะคุยกับเขาแต่ก็ปรึกษาหารือไม่ได้เลย ทะเลาะกันตลอด เขาไม่เคยยอมรับตัวเองว่าที่เขาเป็นแบบนี้มันผิดปกติเขาไม่ไปรักษา เขาบอกว่าเป็นเพราะบัวที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ กับลูกเขาก็เข้มงวดถ้าไม่ได้ดั่งใจเขาก็ตี บัวเคยหนีไปอยู่กับแม่แต่เขาก็รู้จักบ้านแม่เขาก็ไปอาละวาดตามกลับมา แรก ๆ เขาบอกจะปรับปรุงตัวแต่ได้ไม่นาน กลับมาอยู่ด้วยกันเขายิ่งหวาดระแวงกว่าเดิม ถึงแม้ต่อมาเขาจะเลิกเสพยาแล้วแต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม บัวคิดว่าเป็นเพราะแต่ก่อนพ่อของเขาทำกับเขาแบบนี้มาก่อนเข้มงวดบงการชีวิตไม่ให้ออกจากบ้านและทุบตี  เขาก็เลยเก็บกดมาทำกับลูกกับเมียต่อ เขาจะหวาดระแวงทุกอย่าง บางครั้งกับลูกเขาก็จะพาไปตรวจอีเอ็นเอเขาว่าไม่ใช่ลูกของเขาทั้งที่เขาขังบัวไว้ในบ้านตลอดไม่ให้ไปไหนเลย บัวเล่าถึงพฤติกรรมของนายเจมส์อีกว่า

“มีตอนกลางคืน หนูตื่นมาไม่เจอเขาก็ตามหาว่าเขาอยู่ที่ไหน ...ที่ไหนได้เขาแอบอยู่ในตู้เสื้อผ้า(ตู้พลาสติกมีซิป) เพื่อแอบดูว่าหนูจะคุยกับใครไหม หนูจะทำอะไรถ้าเขาไม่อยู่ หนูจะหนีเขาไปไหม คือเขาโรคจิตมาก”

นอกจากนี้บัวยังเปิดใจเล่าให้ฟังในอีกปัญหาหนึ่งที่เธอรู้สึกไม่ไหวกับผู้ชายคนนี้ คือ

“ที่หนูรับไม่ได้อีกเรื่องคือเขามีอารมณ์ทางเพศสูงมาก ถ้าเขาต้องการต้องมีถ้าไม่ยอมก็มีเรื่องกันจนหนูต้องยอม ลูกอยู่ด้วยตื่นหรือหลับก็ต้องมี ท้องเพิ่งคลอดเขาก็ไม่สนใจถ้าเขาต้องการเขาต้องได้ คืออย่างน้อยเขาต้องได้วันละครั้ง เขาไม่สามารถควบคุมได้เลย เขาไม่สนใจว่าหนูจะพร้อมหรือไม่พร้อม หนูไม่โอเคกับเรื่องนี้ถ้าหนูไม่คุมหนูคงมีลูกกับเขาแบบหัวปีท้ายปีอ่ะ”

เมื่อถามบัวว่าแล้วมีอะไรที่ทำให้เราคิดว่าอยู่กับคนนี้ไม่ได้แล้วเธอบอกว่า

“ใช้ชีวิตกับเขามันน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ เวลาทะเลาะกันเขาก็จะชอบพูดว่า กูอยากจะฆ่ามึงจริง ๆ เขาพูดบ่อยมากหนูก็กลัวไม่รู้เขาจะมาปาดคอเราตอนไหนเพราะเขาเคยเอามีดดาบหัวตัดที่เขาบอกว่าซื้อไว้ป้องกันตัวออกมาชี้หน้ามาขู่อยู่ตลอด ถ้าอยู่กับเขาก็ไม่รู้จะตายวันไหน”

บัวรู้จักบ้านพักฉุกเฉินจากเพจเฟซบุ๊กก็เลยหาโอกาสพาลูกออกมา ปัจจุบันบัวกับลูกอยู่ในความดูแลของบ้านพักฉุกเฉินมาเป็นระยะเวลาได้เกือบสองเดือนแล้ว เมื่อมาอยู่บ้านพักก็รู้สึกดีไม่เครียด มีเพื่อนและมีกิจกรรมให้ทำ ชีวิตหลังจากนี้บัววางแผนไว้ว่า จะไม่กลับไปหาเขาอีกขออย่าได้พบเจอกับเขาอีกเลย เธอจะฝากลูกที่บ้านพักฉุกเฉิน ไปทำงานและเธอก็อยากเรียนต่อกศน. เพราะตอนอยู่กับนายเจมส์เขาไม่ให้เธอเรียน เธออยากได้โอกาสและเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

.........................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว  ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่  สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1    ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 0 2929 2301-7 ต่อ 109,113     E-mail: admin@apsw-thailand.org     เว็บไซต์สมาคม  www.apsw-thailand.org หรือบริจาคเงินผ่าน ปันบุญ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

คืนอัปยศ

 

คืนอัปยศ

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

“เรื่องที่ผ่านมามันสอนให้อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ ทำให้โตขึ้นคิดมากขึ้น... การที่เรามองโลกในแง่ดีและไว้เนื้อเชื่อใจใครง่าย ๆ อาจเป็นผลร้าย และเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปตลอดชีวิต”

นั่นคือคำบอกเล่าถึงบทเรียนอันมีค่าและเจ็บปวดในชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องแลกมาด้วยการก้าวผ่านวิกฤตครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ “ลดา” หญิงสาววัย 18 ปี เธอมีดวงตายาวรี คิ้วเข้ม ผิวขาวเหลือง รูปร่างสูงและหากไม่บอกว่าเธอคือแม่ของลูกสาววัย 3 เดือนก็จะไม่มีใครดูรู้เลย

“ลดา” เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ครอบครัวค่อนข้างอบอุ่น พ่อแม่เลี้ยงดูด้วยความเข้าใจและไว้ใจ เมื่อต้องมาเรียนต่อ ณ โรงเรียนที่อยู่ไกลบ้านจึงต้องมาอยู่หอพัก ซึ่งระหว่างเรียนลดาได้รู้จักกับ “ภพ” ชายหนุ่มจากจังหวัดใกล้เคียงที่มีอายุห่างจากลดาเกือบ 5 ปี ลดาได้พบกับภพเป็นครั้งแรกจากการแนะนำของเพื่อน ๆ ภพเป็นผู้ชายนิสัยดี ไม่สูบบุหรี่ ไม่เสพยา และไม่เล่นการพนัน จะมีดื่มเหล้ากับเพื่อนบ้างก็ในยามเที่ยวสังสรรค์ทั่วไป การคบหาของลดาและภพ นั้นไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันเท่าใดนักเพราะอยู่กันคนละจังหวัดแต่ก็สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางโทรศัพท์ เฟซบุ๊ก และ ไลน์

ผ่านไป 2 ปี ความสัมพันธ์ในรูปแบบแฟนของลดาและภพก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น พ่อแม่ของลดา ต่างก็รับรู้ว่าลูกสาวของตนคบหาผู้ชายคนนี้เป็นแฟน และลดากับภพก็ไม่เคยประพฤติตัวเสียหายออกนอกลู่นอกทาง และนั่นจึงนำไปสู่ความเชื่อใจหรืออาจจะเรียกได้ว่า ชะล่าใจ เมื่อวันหนึ่งภพได้ชักชวนลดาไปงานแต่งงานของเพื่อนของเขาโดยที่กลุ่มเพื่อน ๆ ทั้งของลดาและของภพก็ไปด้วย และลดาต้องไปค้างคืนที่บ้านญาติของภพ

โดยที่ลดาไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าที่ผ่านมาภพดูเป็นคนดีไม่มีเกินเลยกับลดาเพราะภพไม่มีโอกาสต่างหาก ดังนั้นคืนนั้นคืนเดียวจึงเปลี่ยนชีวิตของลดาให้มีเพศสัมพันธ์ด้วยความไม่เต็มใจและนำมาสู่การท้องไม่พร้อม

“คือหนูเหมือนถูกเขาหลอกไป หนูไม่ได้ยินยอม หนูไม่ได้ตั้งใจ เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะถูกเขาล่อลวงบังคับไปมีอะไรกับเขา”

หลังจากคืนอัปยศที่เกิดขึ้นลดาก็เลิกติดต่อกับภพแม้ว่าในคืนนั้นภพจะพร่ำบอกกับลดาว่าจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ภพก็ได้ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่ลดามีต่อเขาจนหมดสิ้น ลดาไม่สามารถคบหาเป็นแฟนกับผู้ชายคนนี้ได้อีกเพราะภพทำลายชีวิตลดาทั้งที่ลดาขัดขืนไม่เต็มใจภพก็ยังบังคับที่จะมีเพศสัมพันธ์กับลดา อีกทั้งการกระทำของภพก็ไม่ได้แสดงถึงความรับผิดชอบใด ๆ ให้ลดาเห็นอีกเลยหลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น เรื่องราวมันควรจะผ่านและจางไปตามกาลเวลาแต่บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกกับผู้คนตัวเล็ก ๆ อย่างเธอ เมื่อประจำเดือนของลดาขาดหายไปสิบกว่าวัน ...ลดาก็เริ่มรู้สึกถึงลางร้าย

ลดาไปซื้อแผ่นตรวจการตั้งครรภ์มาตรวจด้วยตนเอง แม้ระหว่างการตรวจลดาจะสวดมนต์ภาวนาและอธิษฐานต่าง ๆ นาให้ผลออกมาเพียงแค่ขีดเดียว แต่ก็นั่นแหล่ะ “มันขึ้นสองขีด” นั่นแปลว่าเธอท้อง ลดาไม่คาดคิดเลยว่าตนจะโชคร้ายขนาดนี้การพลาดมีเพศสัมพันธ์เพียงแค่ครั้งเดียวในคืนเดียวแถมเป็นเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้มาจากความยินยอมพร้อมใจอีกต่างหาก ความรู้สึกของลดาสับสนปนเปไปหมดทั้งเสียใจ เจ็บใจและแค้นใจ  ...แต่ลดาก็ทำอะไรไม่ได้ บอกใครก็ไม่ได้...

ลดายังคงไปเรียนและใช้ชีวิตตามปกติ ลดาไม่ได้ปรึกษาและบอกเรื่องที่ตนท้องให้ใครรู้เลยเธอคิดเพียงแค่ว่าเธอจะเก็บลูกไว้และจะเลี้ยงลูกเองคนเดียว จนกระทั่งผ่านไปได้ประมาณ 6 เดือน แม่ได้มาหาและนอนค้างกับลดาที่หอพัก สัญชาติญาณของความเป็นแม่ที่เคยผ่านการมีลูกมาก่อนทำให้แม่รู้สึกผิดสังเกตในสรีระของบุตรสาวที่เปลี่ยนไป ลดาอ้วนขึ้น มีหน้าท้องยื่นออกมา แม่ไม่สามารถเก็บความสงสัยเอาไว้ได้จึงเอ่ยปากถามลูกสาวแค่เพียงประโยคเดียวว่า

“ทำไมอ้วนขึ้นมากจนพุงออกแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่า?”

ด้วยความเครียดที่ต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เพียงลำพังมาเป็นระยะเวลานานลดาทนไม่ไหวอีกต่อไปเธอจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้แม่ฟังทั้งหมด

ในความโชคร้ายนั้นก็ยังคงมีโชคดีเพราะแม่ของลดาและคนในครอบครัวต่างเข้าใจในตัวลดาไม่มีใครซ้ำเติมให้ได้เจ็บช้ำน้ำใจ แม่กลายเป็นเพื่อนคู่คิดที่คอยช่วยเหลือประคับประคองชีวิตลดาและเด็กน้อยในท้อง เมื่อท้องใหญ่ขึ้นลดาต้องหยุดการเรียนเอาไว้แต่การกลับไปอยู่บ้านก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนักสำหรับคนที่มีปัญหาท้องไม่พร้อมและท้องในวัยเรียน เพราะถึงแม้สาเหตุของการท้องนั้นจะมาจากการถูกแฟนหนุ่มบังคับขืนใจ แต่ลดาและครอบครัวก็คงไม่พ้นคำครหานินทาต่าง ๆ นา และลดาก็คงหนีไม่พ้นข้อหา ท้องไม่มีพ่ออย่างแน่นอน

บ้านพักฉุกเฉินจึงเป็นทางออกหนึ่งที่ ลดาและครอบครัวเลือก ลดาจึงเดินทางมาพักเพื่อรอคลอดลูกที่นี่ ตั้งแต่อายุครรภ์ได้ 7 เดือน การห่างบ้านในช่วงที่เปราะบางก็ทำเอาลดาจิตตกไปพักหนึ่งแต่ไม่นานลดาก็ปรับตัวได้เพราะที่บ้านพักฉุกเฉินยังมีพี่ ๆ น้อง ๆ ผู้หญิงที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกับลดาที่ต่างคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน มีนักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาที่คอยให้คำแนะนำปรึกษา มีกิจกรรมให้ทำหลากหลายทั้งกิจกรรมที่สนุกสนาน ให้ความรู้ และกิจกรรมฝึกอาชีพต่าง ๆ ปัจจุบันลดาคลอดน้องแล้วเป็นเด็กหญิง ที่ร่างกายไม่แข็งแรงเท่าใดนักเพราะลูกสาวตัวน้อยของลดาต้องประสบกับโรคที่เรียกกันว่า “โรคหัวบาตร” หรือ โรคโพรงน้ำในสมองขนาดใหญ่ (ไฮโดรเซฟฟาลัส -HYDROCEPHALUS) เป็นความผิดปกติที่มีน้ำในโพรงสมองมากเกินปกติ และดันกะโหลกศีรษะให้โตออก จนมีขนาดใหญ่ผิดปกติ ซึ่งบ้านพักฉุกเฉินได้ดำเนินการช่วยเหลือให้ลูกของลดาได้ผ่าตัดแล้วเมื่ออายุได้ 3 เดือน เมื่อเอ่ยถึงลูกสีหน้าและแววตาของลดาดูเปลี่ยนไป ลดายิ้มไปเล่าไปว่า

 “หลังจากผ่าตัดลูกหนูเขายิ้มได้ หัวเราะได้ กรี๊ดได้และร้องไห้ได้ จากที่แต่ก่อนเขานอนนิ่งทั้งวัน หนูก็คิดว่าเขาจะมีพัฒนาการที่ค่อยๆ ดีขึ้นอย่างที่หมอบอก”

.............................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว  ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่  สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1    ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2423 ตลอด 24 ชม. 

ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถบริจาคได้ที่ โครงการ  ปันบุญ  

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2564

ฝันร้ายของน้ำ

 

ฝันร้ายของน้ำ

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง


  

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ชีวิตที่ดิ้นรนของปราณี

 

ชีวิตที่ดิ้นรนของปราณี

Base on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

“เคยถามตัวเองว่าชาติที่แล้ว หนูทำกรรมอะไรไว้นะชาตินี้เกิดมาพ่อแม่ก็ไม่รัก ร่างกายก็พิการ มีแฟนก็หวังพึ่งพาฝากผีฝากไข้แต่ก็ไม่ได้เลย จนมาคิดได้ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่หนูเป็นอย่างนี้ก็ไม่เคยคิดไปเหลวไหลติดยาอะไรนะ ไม่ชอบ เคยมีคนชวนเสพยาบอกว่าจะได้ผอม เลยบอกเขาไปว่า  ...กูยอมอ้วนอย่างนี้น่ะดีแล้ว เสพยาแล้วเงินก็ไม่มีเหลือ”

ประโยคที่ทั้งตัดพ้อต่อชะตาชีวิตของตนเองทั้งแฝงด้วยอารมร์ขัน ได้หลุดออกมาจากปากของ สาวใหญ่ร่างท้วม ผิวสองสี วัย 30 กว่าปี ที่ชื่อว่า “ปราณี”

ปราณี มีความพิการทางร่างกาย ขาของปราณีไม่เท่ากันทำให้การเดินเหินของเธอดูไม่คล่องตัวนัก ความพิการนี้ติดตัวปราณีมาแต่กำเนิด ซึ่งตากับยายที่เลี้ยงดูปราณีมาบอกเล่าว่าน่าจะมาจากการที่แม่ของปราณีพยามทำแท้งด้วยการกินยาขับเลือดแต่ไม่สำเร็จ ความพิการทางกายของปราณีนอกจากจะเป็นหลักฐานที่แสดงถึงปมด้อยทางกายของเธอแล้ว ยังเป็นหลักฐานของปมด้อยภายในใจของปราณีอีกด้วยว่าเธอไม่ได้เกิดมาด้วยความรัก

ตั้งแต่ปราณีจำความได้เธอไม่เคยได้รู้ว่าพ่อที่แท้จริงของตนเองเป็นใครมีหน้าตาอย่างไร เธอรู้แต่เพียงว่า แม่มักจะเปลี่ยนแฟนใหม่ไปเรื่อย ๆ ในวัยเด็กแม่ไม่ได้ดูแลปราณีเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่ปราณีถูกเลี้ยงดูโดยตาและยาย แม้ท่านทั้งสองจะมีฐานะยากจนส่งเสียให้ปราณีเรียนได้แค่ชั้นป.6 แต่วัยเด็กของเธอเธอก็มีความสุขดี หลังจากเรียนจบปราณีออกมาทำงานรับจ้างเย็บผ้า และพยายามเรียนกศน.ด้วยตนเองจนอายุ19 ปี เธอจึงเรียนจบชั้นม.3

หลังจากเรียนจบปราณีก็ยังคงทำงานรับจ้างเย็บผ้าโหลที่เดิมเรื่อยมาอีกหลายปี จนได้พบรักกับ “นายเอ” ซึ่งทำงานเป็นรปภ.อยู่ที่โรงงานเดียวกัน ทั้งคู่คบหาเป็นแฟนกันได้ราว ๆ หนึ่งปี ปราณีเห็นว่านายเอเป็นคนนิสัยดีมีความรับผิดชอบ จึงตกลงอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน หลังจากที่อยู่ด้วยกันไม่นานนายเอก็เปลี่ยนแปลงไปมีพฤติกรรมไม่ค่อยกลับบ้านและมักจะบอกว่าต้องอยู่ยามควงเวร จนปราณีท้องลูกคนแรกได้ประมาณ 5 เดือน ปราณีได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาติดต่อสามีของตนเองว่า

“ฮัลโหล...ขอสายเอค่ะ” เสียงสาวนิรนามเอ่ยขึ้นเมื่อปราณีรับสายโทรศัพท์

“ตอนนี้เอไม่อยู่ค่ะ ใครโทรมาเนี่ยคะ?” ปราณีตอบกลับไปพร้อมกับเริ่มมีความระแวงสงสัย

 “บอกเขาว่าเมียของเขาโทรมาให้โทรกลับด้วย” สาวนิรนามบอกกล่าวระบุตัวตนของตนเองจนปราณีแทบทำโทรศัพท์ร่วงหลุดจากมือ ภายในใจของปราณีกลับคิดว่าถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียนายเอแล้วตนเองล่ะเป็นอะไรปราณีจึงกลั้นใจถามกลับไปว่า “แล้วคุณเจอกับเขาได้ยังไง?”

“เขามาทำงานอยู่ยามที่หมู่บ้านที่ฉันอยู่เนี่ย เอเขาก็มาอยู่กับฉันตลอดแหล่ะ ... บอกเขาให้โทรกลับหาเมียเขาด้วยล่ะ แค่นี้นะ” สาวนิรนามย้ำตำแหน่งของตนเองให้ปราณีฟังอีกครั้ง ก่อนที่จะวางสายไป     ปราณีวางโทรศัพท์ลงอย่างงงงวย

            เมื่อปราณีนำปัญหาไปปรึกษาแม่ แม่บอกให้ปราณีเลิกกับนายเอทันที และยังบอกอีกว่าหลานคนเดียวแม่เลี้ยงได้ นั่นจึงเป็นจุดแตกหักของการมีครอบครัวครั้งแรกของปราณี เธอตัดสินใจย้ายมาอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยงตั้งแต่ยังท้อง โดยที่นายเอไม่ได้ติดต่อหรือมีส่วนรับผิดชอบค่าเลี้ยงดูใด ๆ เลย แต่หลังจากย้ายมาอยู่กับแม่เธอก็ต้องมาพบกับปัญหาใหม่คือ พ่อเลี้ยงมักจะลวนลามล่วงเกินหาเศษหาเลยกับเธออยู่เสมอ แม้เธอจะมีลูกอ่อนก็ตาม จนครั้งหนึ่งถึงกับเป็นคดีความเมื่อพ่อเลี้ยงเมาและคิดจะปลุกปล้ำปราณี แต่มีคนเข้ามาช่วยเธอไว้ได้ จึงได้เกิดการแจ้งความกันขึ้น แต่แม่ก็ยังคงอ้อนวอนให้ปราณียอมความ โดยให้เหตุผลว่า “มันอยู่กับกูมันก็ดูแลกูเวลากูเจ็บป่วย” ปราณีจึงเห็นแก่แม่ไม่เอาเรื่องพ่อเลี้ยง เมื่อทั้งสามคนกลับมาอยู่ด้วยกันพ่อเลี้ยงก็ยังไม่เลิกพฤติกรรมเดิม ๆ ปราณีทนไม่ไหว เธอหวาดกลัวว่าตัวเองจะพลาดท่าเสียทีต่อพ่อเลี้ยงเข้าวันไหนสักวัน จึงบอกเรื่องนี้กับแม่อีกครั้งแต่แม่ของเธอกลับบอกว่า

“มึงอย่าบอกใครนะ กูอายคนอื่นเขา  ... จะให้กูทำยังไงล่ะ... นั่นก็ลูกนี่ก็ผัว”

“งั้นหนูจะเป็นฝ่ายไปเอง” ปราณีตัดปัญหาด้วยการเอาตัวเองออกมาจากครอบครัวของแม่ โดยที่ยกลูกชายให้อยู่ในความดูแลของแม่ เพราะตัวเธอเองไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเองเลยถ้าเอาลูกออกมาก็คงพากันออกมาอดตาย

เมื่อปราณีออกมาใช้ชีวิตคนเดียว เธอจึงพยายามหางานแต่ก็สมัครงานอะไรไม่ได้ เธอจึงเอาเงินเก็บไปลงทุนขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดซึ่งก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ผ่านไปได้ ปราณีใช้ชีวิตดิ้นรนเพียงลำพังได้ไม่นานก็ตัดสินใจอยู่กินกับ “นายเติม” ที่มีอาชีพรับจ้างเข็นของในตลาด นายเติมเป็นคนพิการหูตึงทำให้ปราณีคิดว่าคนพิการด้วยกันคงจะเห็นใจกัน แต่ก็ไม่เป็นอย่างหวัง เพราะแม้นายเติมจะพอมีเงินให้ใช้ แต่ก็หาเรื่องทะเลาะตบตีอยู่ตลอด เธอบอกว่า

“โอ้ย!... ไม่ไหวอยู่ด้วยกัน 6 เดือน ดีอยู่ได้ 3 เดือนแรก พอ 3 เดือนหลัง ตีกันทุกวัน เลยหนีไปบวชตอนไปบวชตายังเขียวคางยังโย้อยู่เลย เจ้าอาวาสที่บวชให้ยังมองแบบงงๆ เลยบอกหลวงพ่อว่าบวชให้หนูหน่อยเถอะหนูทุกข์มามากแล้ว บวชแล้วก็กรวดน้ำคว่ำขันกันไปอย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลยคนแบบนี้ บวชอยู่เป็นเดือนถึงได้หลุดมาจากมัน”

เมื่อสึกจากบวชชี ปราณีก็กลับมาขายของได้ประมาณ 2 ปี เธอก็ได้พบกับ “นายวี” ที่มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เขามีอายุมากกว่าเธอสิบปี ด้วยความที่ นายวี มีความเป็นผู้ใหญ่และนิสัยดี ปราณีจึงปลงใจที่จะเริ่มมีชีวิตครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้นายวีก็ไม่ได้ทำให้ปราณีผิดหวังแต่อย่างใด เขาเป็นสามีที่ดี มาโดยตลอดระยะเวลา 8 ปี “หนูยังโชคดีที่ได้เจอคนดี แต่คนที่ดีมักจะอยู่กับเราไม่นาน” ปราณีหัวเราะขื่น ๆ ให้กับชะตาชีวิตของตนเอง เพราะ ในช่วงที่คลอดลูกได้ไม่ถึง 2 เดือน สามีที่ดีที่สุดของเธอก็มาตายจากไปด้วยอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อต

“ชีวิตพลิกผันไม่คิดว่าเขาจะไปเร็วขนาดนั้นตอนตีห้าก่อนไปทำงานเขายังยื่นเงินให้เป็นค่านมลูก พอ10 โมงมีคนมาบอกว่าพี่เขาเสียชีวิตแล้ว รู้สึกเสียใจ จะทำยังไงกับชีวิต มันมืดไปหมด ชีวิตมันล้มทำอะไรไม่ถูก”

หลังจากสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป แม้ด้วยทรัพย์สินของสามีจะช่วยให้ปราณีและลูกไม่ลำบากในช่วงแรก แต่เงินทองก็ร่อยหลอไปกับการทำศพสามี อีกทั้งเธอที่มีลูกอ่อนก็ไม่ได้ทำงานอะไรชีวิตมีแต่รายจ่าย ปราณีจึงนำลูกไปฝากให้ญาติสามีดูแลส่วนเธอก็ต้องออกตระเวนหางานทำ แต่ด้วยสภาพร่างกายที่พิการของเธอทำให้ไม่มีใครรับเธอเข้าทำงาน เมื่อกลับไปขายของตลาดนัดก็ได้รายได้ไม่พอยาไส้ และยังไม่พอส่งให้ลูก เมื่อเงินที่ติดก้นกระเป๋าเหลืออยู่เพียง 20 บาท ปราณีจึงต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อลูกและเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยการประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ ครั้งแรกเธอได้รายได้ 2,000 บาท และครั้งต่อ ๆ มารายได้ขั้นต่ำของเธออยู่ที่ 500 บาท แม้ปราณีจะประกอบอาชีพที่ใครหลาย ๆ คนในสังคมดูถูกและรังเกียจ แต่เธอก็ไม่ละเลยในการรับผิดชอบต่อตนเองและต่อสังคม ปราณีให้แขกใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง อีกทั้งเธอยังไปตรวจเลือดทุก ๆ 3 เดือน

ชีวิตของปราณีอาจจะแย่ลงหรือดีขึ้นต่อจากนี้เราก็ไม่อาจรู้ได้ถ้าหากเมื่อปีที่แล้วเธอจะไม่พบกับ “นายสนอง” ชายผู้มีอายุมากกว่าเธอร่วม 10 ปี เขามีอาชีพขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ในช่วงแรกที่เขาเข้ามาในชีวิตของเธอเขาก็รู้ดีว่าเธอประกอบอาชีพอะไร แต่เขาก็มีความเห็นใจช่วยเหลือเกื้อกูลเรื่องเงินทองกับปราณีอยู่เสมอ จนปราณีใจอ่อนและตกลงอยู่กินด้วยกัน ปราณีบอกว่ากับนายสนองเมื่ออยู่กันแบบผัวเมียแล้วเธอจึงไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ไม่นานปราณีก็ตั้งท้องลูกคนเล็ก เมื่อไปตรวจและฝากครรภ์หมอบอกว่า ผลเลือดของปราณีมีปัญหา เธอมีเลือดบวก ซึ่งบ่งบอกว่าเธอติดเชื้อ เอช ไอ วี ปราณีคิดว่าเธอคงติดโรคมาจากนายสนองอย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้าจะอยู่ด้วยกันผลเลือดเธอยังปกติดี

 “หนูก็มาบอกกับพี่สนองเขานะ ว่าให้ไปตรวจเลือดเขาก็ไม่ไป พอบอกว่าถ้าเป็นเอดส์ล่ะ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร ก็ตายด้วยกัน ตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ก็หดหู่นะแต่ก็เอาวะคนเรายังไงมันก็ต้องตายทุกคน คนอื่นเป็นเอชไอวี แล้วยังเป็นวัณโรคด้วย งั้นเราก็ยังดีนะเราเป็นแค่โรคเดียว”

ปราณีเล่าว่าชีวิตครอบครัวของเธอกับนายสนองก็ปกติสุขดี เขาดูแลดี รับผิดชอบดีทุกอย่าง แต่พอวันที่จะคลอดลูกเขาก็หายไป “เขาบอกว่า เขาจะไปขับวินหาเงินมาส่งค่ารถ แล้วเขาก็เอาเงินไปด้วยสองพัน หนูให้เขาไปจ่ายค่าเช่าห้อง แล้วเขาก็หายไปเลย ค่าเช่าห้องก็ไม่ได้จ่าย ตกกลางคืนหนูก็ปวดท้องคลอดก็ไปผ่าท้องคลอดลูกอยู่ที่โรงพยาบาล อยู่เป็นผู้ป่วยอนาถา นอนอยู่ 7-8 วัน ไม่มีผัวมาดูมาเยี่ยมเหมือนคนอื่นเขาเลย เงินที่หนูให้เขาไปก็ไปกู้นอกระบบมา เจ็ดพัน ส่งไปให้คนที่เลี้ยงลูกคนรองห้าพัน ให้เขาสองพัน นี่หนูยังต้องไปหาเงินใช้หนี้นอกระบบอีก ไม่รู้ว่าดอกจะเท่าไรไปแล้ว... ”

เมื่อนายสนองผู้เป็นสามีขาดการติดต่อ ห้องเช่าที่ไม่ได้จ่ายค่าเช่า ลูกที่เพิ่งผ่าคลอด ร่างกายที่ยังไม่แข็งแรง ทำให้ปราณีต้องขอความช่วยเหลือจากนักสังคมสงเคราะห์ที่โรงพยาบาล เขาจึงให้คำแนะนำและส่งตัวเธอกับลูกน้อยมาพักฟื้นที่บ้านพักฉุกเฉิน เธอบอกกับเราว่า ทีแรกก่อนที่จะมาอยู่เธอมีความเครียดและกลัว แต่พอได้อยู่ที่นี่ก็มีความสุขดี ไม่มีคนรังเกียจในโรคที่เป็น แถมยังมีเจ้าหน้าที่ช่วยดูแล ปราณีวางแผนในอนาคตไว้ว่าเมื่อเธอแข็งแรงแผลผ่าคลอดหายดีแล้ว เธอจะฝากลูกไว้กับบ้านพักฉุกเฉิน

ถ้าหนูดีขึ้นจนออกจากบ้านพักจะไปตามหาเขาที่วิน ตอนนี้ก็ยังคาใจว่าเขาหายไปไหน จริง ๆ ถ้าจะทิ้งเราก็ควรจะบอกเราสักคำ แต่หนูก็เผื่อใจไว้แล้วหากชีวิตนี้จะไม่เจอเขา เสียใจแต่ก็พยายามทำใจ ไม่มีเขาเราก็ต้องอยู่ดูแลลูกต่อไปให้ได้”

เมื่อเราถามถึงวันข้างหน้าว่าเธอจะกลับไปประกอบอาชีพเช่นเดิมหรือไม่ปราณีก็นั่งครุ่นคิดกับตัวเองสักพักและเอ่ยกับเราว่า

“อนาคตต่อไปก็ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ อาชีพนั้นหนูก็ไม่ได้อยากทำถ้ามีทางเลือก ...ก็อาจจะหางาน ขายของตลาดนัด แต่ว่าหนูหางานยากพิการ ไม่เหมือนคนปกติ

นี่เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งจากผู้หญิงที่เติบโตมาจากครอบครัวที่แตกแยก ชีวิตของเธอต้องดิ้นรนทั้งปากกัดตีนถีบ หามื้อกินมื้อ สุขสบายในช่วงสั้น ๆ ของชีวิต การประกอบอาชีพของเธอก็คงไม่มีใครสามารถไปตัดสินความผิดถูกได้เพราะมันคือทางเลือกแคบ ๆ ทางเดียวในขณะนั้น แต่เธอก็ยังยิ้มแย้มและมองโลกในแง่ดีอย่างที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตด้วยเธอมีแนวคิดว่า  ชีวิตหนูพลิกแบบหน้ามือเป็นหลังมือคลออดลูกคนที่2นอนโรงพยาบาลเอกชนห้องพิเศษมีผัวมาเฝ้าดูแลตลอด พอคลอดลูกคนนี้นอนเป็นคนไร้ญาติอยู่ห้องรวมเลย ก็คิดท้อแท้เหมือนกันนะ แต่ไม่ได้ท้อจนคิดฆ่าตัวตาย ”

 ทิ้งท้ายการพูดคุยปราณีได้ฝากบอกกับเราไปถึงคนในสังคมอย่างหวังดีว่า หญิงขายบริการทางเพศหลากหลายคนหลากหลายสถานที่ต่างก็แตกต่างกันหลายประเภท เธอเคยพบหญิงขายบริการทางเพศคนหนึ่งที่ติดเชื้อ เอช ไอ วี แต่ไม่ได้ให้แขกใช้ถุงยางอนามัย เมื่อปราณีแนะนำให้ใช้เธอคนนั้นกลับบอกว่า “จะสนใจทำไมยังไงก็เป็นอยู่แล้ว ยังไงก็ตายอยู่ดี” ซึ่งปราณียังบอกกับเราอย่างติดตลกอีกว่า “หนูจำหน้าแขกของเขาไว้ทุกคนเลยใครที่เขาไปด้วย หนูจะไม่ไปด้วยเลย”

........................................................................................................................................................................................

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่                                                                                             สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน          โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308 

อีเมลล์: admin@apsw-thailand.org   Facebook: สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯบ้านพักฉุกเฉินดอนเมือง www.facebook.com/apswthailand.org หรือ สามารถดูข้อมูลรายละเอียดผ่านทางเว็บไซด์สมาคม www.apsw-thailand.org



วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เหยื่อ


เหยื่อ

Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ



รู้ไหมว่า มีผู้หญิงและเด็ก ไม่น้อยกว่า 7 คนถูกทำร้ายร่างกายในทุก ๆ วัน นั่นหมายถึงทุก ๆ 3 ชั่วโมงจะมีเด็กและผู้หญิงตกเป็นเหยื่ออย่างน้อย 1 คน ข้อมูลจาก องค์การสหประชาชาติระบุว่า ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ของโลก ผู้ชายใช้ความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิง โดย 1 ใน 3 เป็นความรุนแรงทางด้านจิตใจ ซึ่งกลุ่มที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวและร้องขอความช่วยเหลือนั้นมีเพียงร้อยละ 17 จากทั้งหมดและ รายงานจากศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พบว่าในปี 2562 ที่ผ่านมา เกิดความรุนแรงในครอบครัว 1,376 เหตุการณ์มีการดำเนินคดีเพียง 354 คดี เฉลี่ยแล้วมีการดำเนินคดีไม่ถึงครึ่งของจำนวนเหตุการณ์จริงทั้งหมดโดย 53% ถูกกระทำความรุนแรงโดยคู่รักหรือคนในครอบครัว  ผู้กระทำความรุนแรง ‘มากกว่าครึ่ง’ เป็นคนคุ้นเคยหรือบุคคลในครอบครัว โดยสถานที่เกิดเหตุเกิดมักจะเป็นในที่พักของผู้ถูกกระทำ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเภทข่าวข่มขืน และมีหลายกรณีที่อาศัยความไว้ใจเชื่อใจในการล่อลวงเหยื่อมาเพื่อกระทำการดังกล่าว เช่นเรื่องราวของ "บิว" ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้  

        บิว เด็กหญิงที่แม่ทอดทิ้งให้เป็นลูกของคนอื่นตั้งแต่แรกคลอดและไปมีสามีใหม่ ส่วนพ่อแท้ ๆ เสียชีวิตตั้งแต่บิวยังเป็นทารก บิวได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวลุงกับป้าโดยไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของตน แม้บางครั้งเมื่อเขาโมโหก็จะถูกด่าว่าไม่ใช่ลูกก็ไม่เคยเชื่อ จนกระทั่งช่วงที่เรียนอยู่ชั้นป.2 บิวถูกคนที่ตนเองคิดว่าเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดข่มขืน และข่มขู่ไม่ให้บอกใคร จนวันหนึ่งบิวก็มีเลือดเป็นลิ่ม ๆ ไหลออกมาจากอวัยวะเพศ ลุงบอกกับป้าว่าบิวหกล้มในห้องน้ำหลังจากนั้นก็ร่วมกันแก้ปัญหาด้วยการให้บิวใส่ผ้าอนามัย แต่เลือดก็ยังไม่หยุดไหล เลยจำเป็นต้องส่งไปโรงพยาบาลเมื่อได้เข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญผลที่ออกมาไม่ได้สอดคล้องกับเรื่องโกหกที่ลุงแต่งจึงมีการสืบความจนได้ความจริงว่าลุงข่มขืนหลาน จึงได้ดำเนินคดีกับลุง ระหว่างดำเนินคดีบิวอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ของรัฐแห่งหนึ่งซึ่งที่นี่ได้พยายามติดตามหาแม่ที่แท้จริงของบิวจนพบ  บิวจึงได้รู้ความจริงว่าเธอไม่ใช่ลูกของลุงกับป้า

บิวอยู่ที่สถานสงเคราะห์แห่งนั้น 1 เดือนแม่จึงได้รับตัวบิวไปฝากไว้กับน้า และแม่ก็พาพี่ ๆ อีก 3 คน เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ จนกระทั่งบิวอายุย่าง 15  ปี แม่จึงพาพี่กลับมาอยู่กับน้าอีก และการมาของแม่และพี่ในครั้งนี้ก็ทำให้บิวต้องตกเป็นเหยื่ออีกครั้งหนึ่ง... หญิงชายวัยกำลังหนุ่มกำลังสาวที่แม้จะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันแต่ไม่ได้มีความผูกพันฉันท์พี่น้องเลย ต่างคนต่างคล้ายคนแปลกหน้าต่อกันมาอยู่ร่วมกัน บ้านที่พักอาศัยก็ไม่ได้มีการกั้นห้องเป็นสัดส่วน จึงเป็นช่องทางให้พี่ชายคนที่ 3 ซึ่งอายุ 20 ปี ได้พยายามข่มขืนบิว ครั้งแรกไม่สำเร็จแต่บิวไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครทราบเพราะเด็กหญิงไม่รู้จะบอกใครถ้าพูดไปแล้วใครจะเชื่อ... เธอก็เหมือนคนที่อยู่ตัวคนเดียวในโลก... บิวจึงเก็บความหวาดกลัวไว้ภายในจิตใจเพียงคนเดียวเมื่อมีความพยายามในครั้งแรกจึงมีความพยายามในครั้งต่อมาจนสำเร็จ...บิวจึงตกเป็นเหยื่อครั้งแล้วครั้งเล่า...ความเงียบและการเก็บเรื่องเลวร้ายนี้ไว้คนเดียวคือทางออกที่เด็กผู้หญิงวัย 15 ปี จำต้องเลือกให้กับตัวเองเนื่องจากมองไม่เห็นทางเลือกอื่นอีกแล้ว

ต่อมาแม่ได้ย้ายเข้ามาทำงานรับจ้างในกรุงเทพฯ อีกครั้ง และบิวได้ตามมาด้วย บิวเริ่มมีความหวังว่าชีวิตของตนเองน่าจะหลุดพ้นเสียทีแต่พี่ชายก็ได้ตามมากรุงเทพฯเพื่อมาขอกับแม่ให้เขาได้ใช้ชีวิตคู่อยู่กินกับบิวแบบสามีภรรยาซึ่งแม่กลับยินยอม  บิวจึงต้องกล้ำกลืนอยู่กับพี่ชายในรูปแบบความสัมพันธ์ที่พวกเขาต้องการ จะให้บิวทำอย่างไรก็บิวเพิ่งอายุ 15 ปี งานก็ไม่มีทำ บ้านก็ไม่มี ความรู้ก็ไม่มี บัตรประชาชนแม่ก็ไม่พาไปทำแม่บอกว่าไม่สำคัญ บิวจึงต้องตกอยู่ในสภาพ เหยื่อของคนในครอบครัวอีกครั้ง... และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อบิวตั้งท้องและคลอดลูกคนแรกออกมาเป็นเด็กปัญญาอ่อน (Down Syndrome) เพราะเป็นลูกของชายหญิงที่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และหลังจากคลอดลูกคนแรกไม่นานก็ท้องลูกคนที่สองด้วยความหวาดหวั่นว่าจะเหมือนคนแรกหรือไม่แต่ก็ยังพอมีโชคดีอยู่บ้างที่ลูกคนที่สองมีสุขภาพปกติและแข็งแรงดี ชีวิตครอบครัวของบิวในช่วงแรก ๆ ถ้าทำใจลืมเรื่องที่ถูกพี่ชายข่มขืนจนต้องตกมาเป็นภรรยาของเขา ลืม ๆ ไปว่าคือพี่น้องท้องเดียวกันก็ปกติสุขดีจะมีทะเลาะกันบ้างในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ไม่ค่อยจะพอใช้แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นทุบตีทำร้ายกัน แต่หลังจากคลอดลูกคนที่สอง ได้ ปีกว่า ๆ สามีก็ติดยาบ้าอย่างหนัก จนบิวทนไม่ไหวจึงหอบลูกทั้งสองไปอาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง ชีวิตช่วงนี้จึงเริ่มเข้าที่เข้าทาง บิวและพ่อเลี้ยงไปทำงานรับจ้าง แม่เลี้ยงลูกให้... แต่ความสุขมักผ่านไปไวเสมอ... เมื่อสามีหรืออีกนัยหนึ่งก็คือพี่ชายของบิวมาตามกลับบ้านแต่บิวไม่ยินยอม เขาจึงเอาน้ำกรดที่ได้เตรียมมาสาดและราดจากหัวลงไปถึงลำตัวของบิว แต่บิวยังพอมีสติดีเธอคว้าถังน้ำที่อยู่ใกล้ตัวมาราดตัวเองและร้องเรียกหาคนช่วย...

แม่ส่งบิวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง บิวมีอาการทรมานปวดแสบปวดร้อนไปตามศีรษะ ใบหน้า ลำตัว ขาข้างซ้าย และแขนทั้งสองข้าง แผลเริ่มดำคล้ำไหม้และพุพองมากขึ้น บิวต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นโรงพยาบาลได้ส่งบิวเพื่อมาพักฟื้นที่บ้านพักฉุกเฉินส่วนพี่ชายได้หนีหายไป ตำรวจยังไม่สามารถจับตัวได้

บาดแผลทางกายและบาดแผลทางใจของบิวรวมทั้งความหวาดกลัวว่าตนเองจะต้องอัปลักษณ์เสียโฉมด้วยแผลเป็นที่นูนออกมาหลายแห่งบนร่างกาย รวมทั้งรอยด่างบนใบหน้า ส่งผลให้บิวมีสภาพอารมณ์แปรปรวนไม่อยากจะพูดคุยกับใคร วัน ๆ เอาแต่ร้องไห้และทรมานอยู่คนเดียว บิวต้องทานยาคลายเศร้าอยู่เป็นประจำ ...ชีวิตของบิวต้องตกเป็นเหยื่อของคนในครอบครัวอยู่เรื่อยมา... บิวบอกกับเราว่าเธอพยายามหาทางออกให้กับตัวเอง ด้วยการอ่านหนังสือธรรมะ และเรียนฝึกอาชีพหลักสูตร เย็บผ้า เผื่อว่าในสักวันข้างหน้าเธอจะได้มีอาชีพที่พอจะหาเลี้ยงตนเองได้โดยที่ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของใครอีกต่อไป

………………………………………………………………………………………………………

หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว  ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่  สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1    ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-7 ต่อ 109,113   E-mail: admin@apsw-thailand.org    เว็บไซต์สมาคม www.apsw-thailand.org    


ชีวิตใหม่

  ชีวิตใหม่ Based on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เรื่อง : ผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉิน , ผู้เขียน : จิตรา นวลละออง...