ชีวิตที่ดิ้นรนของปราณี
Base
on true story by บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ
“เคยถามตัวเองว่าชาติที่แล้ว
หนูทำกรรมอะไรไว้นะชาตินี้เกิดมาพ่อแม่ก็ไม่รัก ร่างกายก็พิการ
มีแฟนก็หวังพึ่งพาฝากผีฝากไข้แต่ก็ไม่ได้เลย จนมาคิดได้ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
แต่หนูเป็นอย่างนี้ก็ไม่เคยคิดไปเหลวไหลติดยาอะไรนะ ไม่ชอบ เคยมีคนชวนเสพยาบอกว่าจะได้ผอม
เลยบอกเขาไปว่า ...กูยอมอ้วนอย่างนี้น่ะดีแล้ว
เสพยาแล้วเงินก็ไม่มีเหลือ” ประโยคที่ทั้งตัดพ้อต่อชะตาชีวิตของตนเองทั้งแฝงด้วยอารมร์ขัน
ได้หลุดออกมาจากปากของ สาวใหญ่ร่างท้วม ผิวสองสี วัย 30 กว่าปี ที่ชื่อว่า “ปราณี”
ปราณี มีความพิการทางร่างกาย
ขาของปราณีไม่เท่ากันทำให้การเดินเหินของเธอดูไม่คล่องตัวนัก
ความพิการนี้ติดตัวปราณีมาแต่กำเนิด
ซึ่งตากับยายที่เลี้ยงดูปราณีมาบอกเล่าว่าน่าจะมาจากการที่แม่ของปราณีพยามทำแท้งด้วยการกินยาขับเลือดแต่ไม่สำเร็จ
ความพิการทางกายของปราณีนอกจากจะเป็นหลักฐานที่แสดงถึงปมด้อยทางกายของเธอแล้ว
ยังเป็นหลักฐานของปมด้อยภายในใจของปราณีอีกด้วยว่าเธอไม่ได้เกิดมาด้วยความรัก
ตั้งแต่ปราณีจำความได้เธอไม่เคยได้รู้ว่าพ่อที่แท้จริงของตนเองเป็นใครมีหน้าตาอย่างไร
เธอรู้แต่เพียงว่า แม่มักจะเปลี่ยนแฟนใหม่ไปเรื่อย ๆ
ในวัยเด็กแม่ไม่ได้ดูแลปราณีเลย
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่ปราณีถูกเลี้ยงดูโดยตาและยาย
แม้ท่านทั้งสองจะมีฐานะยากจนส่งเสียให้ปราณีเรียนได้แค่ชั้นป.6 แต่วัยเด็กของเธอเธอก็มีความสุขดี
หลังจากเรียนจบปราณีออกมาทำงานรับจ้างเย็บผ้า และพยายามเรียนกศน.ด้วยตนเองจนอายุ19
ปี เธอจึงเรียนจบชั้นม.3
หลังจากเรียนจบปราณีก็ยังคงทำงานรับจ้างเย็บผ้าโหลที่เดิมเรื่อยมาอีกหลายปี
จนได้พบรักกับ “นายเอ” ซึ่งทำงานเป็นรปภ.อยู่ที่โรงงานเดียวกัน
ทั้งคู่คบหาเป็นแฟนกันได้ราว ๆ หนึ่งปี ปราณีเห็นว่านายเอเป็นคนนิสัยดีมีความรับผิดชอบ
จึงตกลงอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน หลังจากที่อยู่ด้วยกันไม่นานนายเอก็เปลี่ยนแปลงไปมีพฤติกรรมไม่ค่อยกลับบ้านและมักจะบอกว่าต้องอยู่ยามควงเวร
จนปราณีท้องลูกคนแรกได้ประมาณ 5 เดือน
ปราณีได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาติดต่อสามีของตนเองว่า
“ฮัลโหล...ขอสายเอค่ะ” เสียงสาวนิรนามเอ่ยขึ้นเมื่อปราณีรับสายโทรศัพท์
“ตอนนี้เอไม่อยู่ค่ะ ใครโทรมาเนี่ยคะ?” ปราณีตอบกลับไปพร้อมกับเริ่มมีความระแวงสงสัย
“บอกเขาว่าเมียของเขาโทรมาให้โทรกลับด้วย” สาวนิรนามบอกกล่าวระบุตัวตนของตนเองจนปราณีแทบทำโทรศัพท์ร่วงหลุดจากมือ
ภายในใจของปราณีกลับคิดว่าถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียนายเอแล้วตนเองล่ะเป็นอะไรปราณีจึงกลั้นใจถามกลับไปว่า
“แล้วคุณเจอกับเขาได้ยังไง?”
“เขามาทำงานอยู่ยามที่หมู่บ้านที่ฉันอยู่เนี่ย เอเขาก็มาอยู่กับฉันตลอดแหล่ะ
... บอกเขาให้โทรกลับหาเมียเขาด้วยล่ะ แค่นี้นะ” สาวนิรนามย้ำตำแหน่งของตนเองให้ปราณีฟังอีกครั้ง ก่อนที่จะวางสายไป ปราณีวางโทรศัพท์ลงอย่างงงงวย
เมื่อปราณีนำปัญหาไปปรึกษาแม่
แม่บอกให้ปราณีเลิกกับนายเอทันที และยังบอกอีกว่าหลานคนเดียวแม่เลี้ยงได้
นั่นจึงเป็นจุดแตกหักของการมีครอบครัวครั้งแรกของปราณี
เธอตัดสินใจย้ายมาอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยงตั้งแต่ยังท้อง โดยที่นายเอไม่ได้ติดต่อหรือมีส่วนรับผิดชอบค่าเลี้ยงดูใด
ๆ เลย แต่หลังจากย้ายมาอยู่กับแม่เธอก็ต้องมาพบกับปัญหาใหม่คือ
พ่อเลี้ยงมักจะลวนลามล่วงเกินหาเศษหาเลยกับเธออยู่เสมอ แม้เธอจะมีลูกอ่อนก็ตาม
จนครั้งหนึ่งถึงกับเป็นคดีความเมื่อพ่อเลี้ยงเมาและคิดจะปลุกปล้ำปราณี
แต่มีคนเข้ามาช่วยเธอไว้ได้ จึงได้เกิดการแจ้งความกันขึ้น
แต่แม่ก็ยังคงอ้อนวอนให้ปราณียอมความ โดยให้เหตุผลว่า “มันอยู่กับกูมันก็ดูแลกูเวลากูเจ็บป่วย”
ปราณีจึงเห็นแก่แม่ไม่เอาเรื่องพ่อเลี้ยง
เมื่อทั้งสามคนกลับมาอยู่ด้วยกันพ่อเลี้ยงก็ยังไม่เลิกพฤติกรรมเดิม ๆ
ปราณีทนไม่ไหว เธอหวาดกลัวว่าตัวเองจะพลาดท่าเสียทีต่อพ่อเลี้ยงเข้าวันไหนสักวัน
จึงบอกเรื่องนี้กับแม่อีกครั้งแต่แม่ของเธอกลับบอกว่า
“มึงอย่าบอกใครนะ กูอายคนอื่นเขา ... จะให้กูทำยังไงล่ะ... นั่นก็ลูกนี่ก็ผัว”
“งั้นหนูจะเป็นฝ่ายไปเอง” ปราณีตัดปัญหาด้วยการเอาตัวเองออกมาจากครอบครัวของแม่
โดยที่ยกลูกชายให้อยู่ในความดูแลของแม่ เพราะตัวเธอเองไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเองเลยถ้าเอาลูกออกมาก็คงพากันออกมาอดตาย
เมื่อปราณีออกมาใช้ชีวิตคนเดียว
เธอจึงพยายามหางานแต่ก็สมัครงานอะไรไม่ได้
เธอจึงเอาเงินเก็บไปลงทุนขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดซึ่งก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ผ่านไปได้
ปราณีใช้ชีวิตดิ้นรนเพียงลำพังได้ไม่นานก็ตัดสินใจอยู่กินกับ “นายเติม” ที่มีอาชีพรับจ้างเข็นของในตลาด
นายเติมเป็นคนพิการหูตึงทำให้ปราณีคิดว่าคนพิการด้วยกันคงจะเห็นใจกัน
แต่ก็ไม่เป็นอย่างหวัง เพราะแม้นายเติมจะพอมีเงินให้ใช้
แต่ก็หาเรื่องทะเลาะตบตีอยู่ตลอด เธอบอกว่า
“โอ้ย!... ไม่ไหวอยู่ด้วยกัน 6 เดือน ดีอยู่ได้ 3
เดือนแรก พอ 3 เดือนหลัง ตีกันทุกวัน
เลยหนีไปบวชตอนไปบวชตายังเขียวคางยังโย้อยู่เลย เจ้าอาวาสที่บวชให้ยังมองแบบงงๆ
เลยบอกหลวงพ่อว่าบวชให้หนูหน่อยเถอะหนูทุกข์มามากแล้ว
บวชแล้วก็กรวดน้ำคว่ำขันกันไปอย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลยคนแบบนี้
บวชอยู่เป็นเดือนถึงได้หลุดมาจากมัน”
เมื่อสึกจากบวชชี ปราณีก็กลับมาขายของได้ประมาณ 2 ปี เธอก็ได้พบกับ “นายวี” ที่มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง
เขามีอายุมากกว่าเธอสิบปี ด้วยความที่ นายวี มีความเป็นผู้ใหญ่และนิสัยดี
ปราณีจึงปลงใจที่จะเริ่มมีชีวิตครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้นายวีก็ไม่ได้ทำให้ปราณีผิดหวังแต่อย่างใด
เขาเป็นสามีที่ดี มาโดยตลอดระยะเวลา 8 ปี “หนูยังโชคดีที่ได้เจอคนดี
แต่คนที่ดีมักจะอยู่กับเราไม่นาน” ปราณีหัวเราะขื่น
ๆ ให้กับชะตาชีวิตของตนเอง เพราะ ในช่วงที่คลอดลูกได้ไม่ถึง 2 เดือน
สามีที่ดีที่สุดของเธอก็มาตายจากไปด้วยอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อต
“ชีวิตพลิกผันไม่คิดว่าเขาจะไปเร็วขนาดนั้นตอนตีห้าก่อนไปทำงานเขายังยื่นเงินให้เป็นค่านมลูก
พอ10 โมงมีคนมาบอกว่าพี่เขาเสียชีวิตแล้ว รู้สึกเสียใจ จะทำยังไงกับชีวิต
มันมืดไปหมด ชีวิตมันล้มทำอะไรไม่ถูก”
หลังจากสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไป แม้ด้วยทรัพย์สินของสามีจะช่วยให้ปราณีและลูกไม่ลำบากในช่วงแรก
แต่เงินทองก็ร่อยหลอไปกับการทำศพสามี อีกทั้งเธอที่มีลูกอ่อนก็ไม่ได้ทำงานอะไรชีวิตมีแต่รายจ่าย
ปราณีจึงนำลูกไปฝากให้ญาติสามีดูแลส่วนเธอก็ต้องออกตระเวนหางานทำ
แต่ด้วยสภาพร่างกายที่พิการของเธอทำให้ไม่มีใครรับเธอเข้าทำงาน เมื่อกลับไปขายของตลาดนัดก็ได้รายได้ไม่พอยาไส้
และยังไม่พอส่งให้ลูก เมื่อเงินที่ติดก้นกระเป๋าเหลืออยู่เพียง 20 บาท
ปราณีจึงต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อลูกและเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ด้วยการประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ ครั้งแรกเธอได้รายได้ 2,000 บาท และครั้งต่อ ๆ
มารายได้ขั้นต่ำของเธออยู่ที่ 500 บาท แม้ปราณีจะประกอบอาชีพที่ใครหลาย ๆ
คนในสังคมดูถูกและรังเกียจ แต่เธอก็ไม่ละเลยในการรับผิดชอบต่อตนเองและต่อสังคม
ปราณีให้แขกใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง อีกทั้งเธอยังไปตรวจเลือดทุก ๆ 3 เดือน
ชีวิตของปราณีอาจจะแย่ลงหรือดีขึ้นต่อจากนี้เราก็ไม่อาจรู้ได้ถ้าหากเมื่อปีที่แล้วเธอจะไม่พบกับ
“นายสนอง” ชายผู้มีอายุมากกว่าเธอร่วม
10 ปี เขามีอาชีพขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ในช่วงแรกที่เขาเข้ามาในชีวิตของเธอเขาก็รู้ดีว่าเธอประกอบอาชีพอะไร
แต่เขาก็มีความเห็นใจช่วยเหลือเกื้อกูลเรื่องเงินทองกับปราณีอยู่เสมอ จนปราณีใจอ่อนและตกลงอยู่กินด้วยกัน
ปราณีบอกว่ากับนายสนองเมื่ออยู่กันแบบผัวเมียแล้วเธอจึงไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย
ไม่นานปราณีก็ตั้งท้องลูกคนเล็ก เมื่อไปตรวจและฝากครรภ์หมอบอกว่า
ผลเลือดของปราณีมีปัญหา เธอมีเลือดบวก ซึ่งบ่งบอกว่าเธอติดเชื้อ เอช ไอ วี
ปราณีคิดว่าเธอคงติดโรคมาจากนายสนองอย่างแน่นอน
เพราะก่อนหน้าจะอยู่ด้วยกันผลเลือดเธอยังปกติดี
“หนูก็มาบอกกับพี่สนองเขานะ
ว่าให้ไปตรวจเลือดเขาก็ไม่ไป พอบอกว่าถ้าเป็นเอดส์ล่ะ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร
ก็ตายด้วยกัน ตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ก็หดหู่นะแต่ก็เอาวะคนเรายังไงมันก็ต้องตายทุกคน
คนอื่นเป็นเอชไอวี แล้วยังเป็นวัณโรคด้วย งั้นเราก็ยังดีนะเราเป็นแค่โรคเดียว”
ปราณีเล่าว่าชีวิตครอบครัวของเธอกับนายสนองก็ปกติสุขดี เขาดูแลดี
รับผิดชอบดีทุกอย่าง แต่พอวันที่จะคลอดลูกเขาก็หายไป “เขาบอกว่า
เขาจะไปขับวินหาเงินมาส่งค่ารถ แล้วเขาก็เอาเงินไปด้วยสองพัน
หนูให้เขาไปจ่ายค่าเช่าห้อง แล้วเขาก็หายไปเลย ค่าเช่าห้องก็ไม่ได้จ่าย
ตกกลางคืนหนูก็ปวดท้องคลอดก็ไปผ่าท้องคลอดลูกอยู่ที่โรงพยาบาล
อยู่เป็นผู้ป่วยอนาถา นอนอยู่ 7-8 วัน ไม่มีผัวมาดูมาเยี่ยมเหมือนคนอื่นเขาเลย
เงินที่หนูให้เขาไปก็ไปกู้นอกระบบมา เจ็ดพัน ส่งไปให้คนที่เลี้ยงลูกคนรองห้าพัน
ให้เขาสองพัน นี่หนูยังต้องไปหาเงินใช้หนี้นอกระบบอีก
ไม่รู้ว่าดอกจะเท่าไรไปแล้ว... ”
เมื่อนายสนองผู้เป็นสามีขาดการติดต่อ ห้องเช่าที่ไม่ได้จ่ายค่าเช่า
ลูกที่เพิ่งผ่าคลอด ร่างกายที่ยังไม่แข็งแรง ทำให้ปราณีต้องขอความช่วยเหลือจากนักสังคมสงเคราะห์ที่โรงพยาบาล
เขาจึงให้คำแนะนำและส่งตัวเธอกับลูกน้อยมาพักฟื้นที่บ้านพักฉุกเฉิน
เธอบอกกับเราว่า ทีแรกก่อนที่จะมาอยู่เธอมีความเครียดและกลัว
แต่พอได้อยู่ที่นี่ก็มีความสุขดี ไม่มีคนรังเกียจในโรคที่เป็น แถมยังมีเจ้าหน้าที่ช่วยดูแล
ปราณีวางแผนในอนาคตไว้ว่าเมื่อเธอแข็งแรงแผลผ่าคลอดหายดีแล้ว
เธอจะฝากลูกไว้กับบ้านพักฉุกเฉิน
“ถ้าหนูดีขึ้นจนออกจากบ้านพักจะไปตามหาเขาที่วิน
ตอนนี้ก็ยังคาใจว่าเขาหายไปไหน จริง ๆ ถ้าจะทิ้งเราก็ควรจะบอกเราสักคำ
แต่หนูก็เผื่อใจไว้แล้วหากชีวิตนี้จะไม่เจอเขา เสียใจแต่ก็พยายามทำใจ
ไม่มีเขาเราก็ต้องอยู่ดูแลลูกต่อไปให้ได้”
เมื่อเราถามถึงวันข้างหน้าว่าเธอจะกลับไปประกอบอาชีพเช่นเดิมหรือไม่ปราณีก็นั่งครุ่นคิดกับตัวเองสักพักและเอ่ยกับเราว่า
“อนาคตต่อไปก็ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะ อาชีพนั้นหนูก็ไม่ได้อยากทำถ้ามีทางเลือก
...ก็อาจจะหางาน ขายของตลาดนัด แต่ว่าหนูหางานยากพิการ ไม่เหมือนคนปกติ ”
นี่เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งจากผู้หญิงที่เติบโตมาจากครอบครัวที่แตกแยก
ชีวิตของเธอต้องดิ้นรนทั้งปากกัดตีนถีบ หามื้อกินมื้อ สุขสบายในช่วงสั้น ๆ ของชีวิต
การประกอบอาชีพของเธอก็คงไม่มีใครสามารถไปตัดสินความผิดถูกได้เพราะมันคือทางเลือกแคบ
ๆ ทางเดียวในขณะนั้น แต่เธอก็ยังยิ้มแย้มและมองโลกในแง่ดีอย่างที่ไม่ยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตด้วยเธอมีแนวคิดว่า “ชีวิตหนูพลิกแบบหน้ามือเป็นหลังมือคลออดลูกคนที่2นอนโรงพยาบาลเอกชนห้องพิเศษมีผัวมาเฝ้าดูแลตลอด
พอคลอดลูกคนนี้นอนเป็นคนไร้ญาติอยู่ห้องรวมเลย ก็คิดท้อแท้เหมือนกันนะ
แต่ไม่ได้ท้อจนคิดฆ่าตัวตาย ”
ทิ้งท้ายการพูดคุยปราณีได้ฝากบอกกับเราไปถึงคนในสังคมอย่างหวังดีว่า
หญิงขายบริการทางเพศหลากหลายคนหลากหลายสถานที่ต่างก็แตกต่างกันหลายประเภท
เธอเคยพบหญิงขายบริการทางเพศคนหนึ่งที่ติดเชื้อ เอช ไอ วี
แต่ไม่ได้ให้แขกใช้ถุงยางอนามัย เมื่อปราณีแนะนำให้ใช้เธอคนนั้นกลับบอกว่า “จะสนใจทำไมยังไงก็เป็นอยู่แล้ว ยังไงก็ตายอยู่ดี” ซึ่งปราณียังบอกกับเราอย่างติดตลกอีกว่า
“หนูจำหน้าแขกของเขาไว้ทุกคนเลยใครที่เขาไปด้วย
หนูจะไม่ไปด้วยเลย”
........................................................................................................................................................................................
หากผู้หญิงและเด็ก ท่านใดประสบปัญหาในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ท้องไม่พร้อม ถูกข่มขืน หรือติดเชื้อ เอช ไอ วี สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ บ้านพักฉุกเฉิน 501/1 ซ.เดชะตุงคะ 1 ถ.เดชะตุงคะ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0 2929 2222 ตลอด 24 ชม. อีเมลล์: knitnaree@hotmail.com และ ในกรณีที่ท่านต้องการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กในบ้านพักฉุกเฉินสามารถติดต่อได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และหาทุน โทร. 0 2929 2301-3 ต่อ 109,113 หรือ 0 2 929 2308